ใบแจ้งข่าว: ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษา ลงโทษจำคุกนายจ้าง 6 ปี 16 เดือน ปรับ 6 แสนบาท ในคดีค้ามนุษย์โดยการบังคับใช้แรงงาน พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,500,000 บาท

เผยแพร่วันที่ 14 กันยายน 2565

ใบแจ้งข่าว

ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษา ลงโทษจำคุกนายจ้าง 6 ปี 16 เดือน ปรับ 6 แสนบาท

ในคดีค้ามนุษย์โดยการบังคับใช้แรงงาน พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,500,000 บาท

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้กำหนดนัดอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์ คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางทิพยอาภา ยิ้มเนียม เป็นจำเลย โดยมีผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมของคดี ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ความผิดต่อร่างกาย เป็นคดีหมายเลขดำที่ คม 1/2564 คดีหมายเลขแดงที่ คม 1/2565 โดยศาลพิพากษาให้

  1. จำเลยมีความผิด ฐานค้ามนุษย์ โดยหน่วงเหนี่ยว กักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยแสวงหาประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงาน, ให้คนต่างด้าวเข้าพักอาศัยเพื่อให้พ้นการจับกุม, จ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเข้าทำงานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, เป็นนายจ้างไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้ตรงตามกำหนดเวลาและเป็นการจ่ายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน , ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส เสียโฉมอย่างติดตัว และกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก ลงโทษจำคุก 6 ปี 16 เดือน ปรับ 6 แสนบาท
  2. ในส่วนของการให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมตามคำฟ้องนั้น แยกเป็น ค่าสินไหมที่เป็นค่ารักษาพยาบาลบาดแผลตามร่างกาย จำนวน 1,950,000 บาท ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่าย 500,000 บาท ค่าเสียหายต่อจิตใจ จำนวน 550,000 บาท ศาลพิพากษาให้ 500,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ จากการขาดรายได้ เนื่องจากมือซ้ายพิการ ค่าขาดประโยชน์จากการทำงาน 44 ปี จำนวน 2,640,000 บาท ศาลพิพากษาให้ 500,000 บาท รวมค่าสินไหมที่จำเลยจะต้องรับผิดเป็นค่าเสียหายต่อร่างกาย จิตใจ และชื่อเสียงของโจทก์ร่วมทั้งสิ้น 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม

คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อปี พ.ศ. 2557 เด็กหญิงเอ (นามสมมุติ) อยู่ที่แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว ในขณะที่อายุเพียง 10 ขวบ พร้อมพี่ชาย ได้ถูกนายหน้าชาวลาวหลอกลวงพาเข้ามาให้ทำงานเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของจำเลย ผู้เป็นนายจ้าง ที่จังหวัดสมุทรปราการ ตลอดเวลาหลายปีที่ทำงาน เด็กหญิงเอได้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งและกระทำทารุณกรรมอย่างโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ถูกทุบตี ถูกใช้กรรไกรทิ่มแทง ตัดผิวหนังและเนื้อตัวร่างกายจนปรากฎเป็นริ้วรอยบาดแผลทั่วตัว รวมทั้งให้กินอาหารสัตว์และอยู่ร่วมกับแมวและสุนัขที่นายจ้างเลี้ยงไว้ จนเด็กหญิงเอได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส หลังจากทุกข์ทรมานอยู่ 5 ปี ในปี พ.ศ. 2562 เด็กหญิงเอจึงได้หลบหนีออกมาจากบ้านของนายจ้างสำเร็จ แต่เนื่องจากไม่ทราบว่าจะกลับบ้านที่ สปป.ลาว อย่างไร จึงถูกนายกาหลง เมืองจันทร์ ชาวบ้านในจังหวัดสมุทรปราการล่อลวงและข่มขืนกระทำชำเราหลายครั้ง จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ความช่วยเหลือส่งตัวให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดูแล ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีคำพิพากษา ให้จำคุกนายกาหลง เป็นเวลา 10 ปี 3 เดือน โทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี  ส่วนนายจ้างและญาติอยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดีในข้อหาค้ามนุษย์ (รายละเอียดใน ลิ้งข่าว 1 และ ลิ้งข่าว 2)

 

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่เด็กหญิงเอ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ดังนี้

  1. ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการยื่นเรื่องขอรับเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ในกรณีถูกทำร้ายร่างกายโดยนายจ้างและถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยนายกาหลง กระทรวงยุติธรรมกลับปฏิเสธ ไม่จ่ายค่าตอบแทนให้เด็กหญิงเอ เหยื่ออาชญากรรมดังกล่าว โดยอ้างว่าแม้เด็กหญิงเอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด แต่เนื่องจากเข้ามาในประเทศโดยผิดกฎหมายด้วยความสมัครใจ จึงไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิได้เงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://hrdfoundation.org/?p=2330&lang=en ทางมูลนิธิฯได้อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการวินิจฉัยจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้เสียหาย และคณะกรรมการฯได้พิจารณาสั่งจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายในคดีอาญา ด้วยเหตุว่าเนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสมุทรปราการว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่เด็กหญิงเอ อายุ 10 ปีเศษ ถูกบิดาส่งตัวให้มาทำงานในประเทศไทย จึงไม่อาจถือว่าเด็กหญิงเอ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย  วินิจฉัยให้จ่ายค่าตอบแทนแก่เด็กหญิงเอ เป็นค่าตอบแทนความเสียหายอื่น จำนวน 50,000 บาท ในกรณีถูกข่มขืนกระทำชำเรา
  2. ยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงาน ภาค 1 เพื่อให้นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเงินจำนวน 99,133.32 บาท โดยศาลแรงงานภาค 1 พิพากษาให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่เด็กหญิงเอ เป็นเงินจำนวน 11,000 บาท โดยมีประเด็นสำคัญที่ศาลเห็นว่า เด็กหญิงเอ เป็นลูกจ้างทำงานบ้านที่ไม่มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย จึงไม่ได้รับการคุ้มครองอัตราค่าแรงขึ้นต่ำตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เด็กหญิงเอ จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างตามอัตราที่นายจ้างตกลงจ่ายให้เดือนละ 3,000-5,000 เท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://hrdfoundation.org/?p=2771
  3. เป็นทนายความและผู้แทนคดีให้แก่เด็กหญิงเอ ในฐานะโจทก์ร่วม ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยในคดีค้ามนุษย์โดยการบังคับใช้แรงงาน

 

นางสาวกาญจนา อัครชาติ ผู้จัดการคดี ของมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ความเห็นว่า เด็กหญิงเอ ผู้เสียหายในคดีนี้ได้รับความเสียหายรุนแรง และความเสียหายที่เกิดขึ้นจะติดตัวต่อไปอีกเป็นเวลานาน ซึ่งสร้างผลกระทบทั้งในด้านการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพในอนาคต ตลอดจนการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ดังนั้น ในคดีค้ามนุษย์ ที่มีการเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายคดีค้ามนุษย์ ควรมีการทำรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในแง่ของหลักการ หลักเกณฑ์ และทำให้เป็นบรรทัดฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรม รวมทั้งเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2555) ได้ประกาศยกเว้นการคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันไม่ได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย ทำให้ลูกจ้างทำงานบ้าน ในฐานะที่เป็นแรงงานซึ่งตกลงทำงานให้จ้าง ไม่ได้รับอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรมและถูกเลือกปฏิบัติ และขัดต่ออนุสัญญาองค์การด้านแรงงานระหว่างประเทศ และอนุสัญญาที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี


 

รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

นางสาวกาญจนา อัครชาติ ผู้จัดการคดี  โครงการต่อต้านการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน

อีเมล [email protected] 02 277 6882