แถลงการณ์ เรื่อง ความเห็นทางกฎหมายต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ

แถลงการณ์

เรื่อง  ความเห็นทางกฎหมายต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ

วันที่ 30 ตุลาคม 2556

ตามที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. ฉบับนายวรชัย เหมะ (กฎหมายนิรโทษกรรม) และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีหลักการ “ให้มีกฎหมายว่าด้วยนิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554”  และต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ว่าคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้มีมติในการแก้ไขมาตรา 3 ให้บัญญัติว่า  “ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

การกระทำตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) และองค์กรตามรายชื่อแนบท้าย มีความเห็นต่อการแก้ไขร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ดังต่อไปนี้

1. คณะกรรมาธิการจะแก้ไขร่างกฎหมายเกินกว่ามติรับหลักการในวาระแรกไม่ได้

ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ฉบับนายวรชัย เหมะ นั้นมีเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายมุ่งแต่เพียงการนิรโทษกรรมแก่ “บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง” ในระยะเวลาดังกล่าวเท่านั้น แต่การที่คณะกรรมาธิการ ได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงฐานความผิดอันเกิดจากการกล่าวหาขององค์กรหลังการรัฐประหารและการดำเนินงานขององค์กรอื่นสืบเนื่องมา ซึ่งจะรวมถึงความผิดในคดีทุจริตหลายคดี  ครอบคลุมระยะเวลาการกระทำความผิดตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 ซึ่งไม่เคยมีการนิรโทษกรรมคดีทุจริตมาก่อนรวมถึงครอบคลุมถึงบุคคลซึ่งมีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการในการเคลื่อนไหวดังกล่าว ย่อมเป็นการขัดต่อหลักการของร่างพระราชบัญญัติซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการในวาระแรก ขัดต่อข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อ 117 ซึ่งบัญญัติถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมาธิการว่าอาจเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมได้ แต่ต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น รวมถึงขัดต่อหลักการในการร่างกฎหมายอันเป็นหลักการในระดับรัฐธรรมนูญ

2. การนิรโทษกรรมต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

การนิรโทษกรรมเป็นกระบวนการหนึ่งของการปรองดองเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แต่การนิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไขนั้นย่อมขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชน และสร้างวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด(impunity)  ดังนั้นการนิรโทษกรรมนั้นจำเป็นกระทำอย่างมีเงื่อนไขซึ่งควรพิจารณาเงื่อนไขที่สำคัญได้แก่

     2.1 เงื่อนเวลาที่มุ่งประสงค์จะนิรโทษกรรม ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีการนิรโทษกรรมในเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ซึ่งเกิดการรัฐประหารอันเป็นหนึ่งในต้นเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมืองและสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นวันที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร

แต่การขยายกรอบระยะเวลาให้เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 นั้น แม้จะเริ่มมีการชุมนุมทางการเมืองแต่การชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น การพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมจึงต้องยึดถือหลักเกณฑ์ “ความขัดแย้งทางการเมือง” เป็นสำคัญในการกำหนดเงื่อนเวลาเริ่มต้น

     2.2 ฐานความผิดที่มุ่งประสงค์จะนิรโทษกรรม ต้องพิจารณาถึงความมุ่งหมายที่ต้องการจะนิรโทษกรรม ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ฉบับนายวรชัย เหมะ มีความมุ่งประสงค์ในการนิรโทษกรรมแก่เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง หรือเพราะมูลเหตุแห่งความขัดแย้งของการเมืองของประชาชนเท่านั้น การขยายขอบเขตลักษณะแห่งการนิรโทษกรรมไปถึงความผิดหรือข้อกล่าวหาอื่นใดจากองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐบาลซึ่งจะรวมถึงคดีทุจริตด้วยนั้นจึงไม่สอดคล้องความมุ่งประสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมและอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในภายหลังซึ่งทำให้ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ของการนิรโทษกรรมได้

อีกทั้งการนิรโทษกรรมซึ่งรวมถึงฐานความผิดต่อชีวิตนั้นย่อมไม่อาจยอมรับได้เพราะสิทธิในชีวิตถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสำคัญที่สุดในฐานะมนุษย์จึง และเป็นการละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ  6 ซึ่งมีหลักการว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตมาแต่กำเนิด สิทธินี้ต้องได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายและบุคคลต้องไม่ถูกทำให้เสียชีวิตโดยอำเภอใจอย่างร้ายแรง และในข้อ  4. มีหลักว่าไม่ว่าภาวะสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐ เช่นการชุมนุมทางการเมือง สิทธิในชีวิตและร่างกายก็เป็นสิ่งที่ละเมิดไม่ได้

     2.3 กลุ่มบุคคลที่มุ่งประสงค์จะนิรโทษกรรม

แม้การนิรโทษกรรมเป็นกลไกหนึ่งของหลักความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน แต่การนิรโทษกรรมทุกกรณีย่อมไม่อาจยอมรับได้ เพราะนอกจากเป็นการสร้างวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชนแล้ว การนิรโทษกรรมให้กับผู้นำความเคลื่อนไหวหรือผู้บังคับบัญชาที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนย่อมไม่ใช่คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ก็มิอาจถือเป็นเหตุยกเว้นความผิดได้ นอกจากนี้ หากเป็นการนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย ยังเป็นการงดเว้นการเยียวยาต่อประชาชน เป็นการทำลายกระบวนการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชน

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรตามรายชื่อแนบท้าย ขอแสดงความกังวลว่า หากรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรยังดำเนินการนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไขต่อไป จะก่อให้เกิดวัฒนธรรมการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด และทำให้ประเทศไทยยังคงดำรงความขัดแย้งและไม่อาจออกจากวงเวียนของความรุนแรงได้ในระยะยาว ดังนั้นแล้ว เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพิจารณากรอบการนิรโทษกรรมให้รอบคอบ เคารพถึงหลักการความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน หลักการสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน

ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา

ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม