แรงงานสัญชาติเมียนมา 14 ราย ถูกเลิกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย


คดีนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 แรงงานสัญชาติเมียนมาจำนวน 14 คน ทำงานเป็นพนักงานทั่วไปที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เนื่องจากกำลังจะถูกนายจ้างเลิกจ้างในวันที่ 8 มีนาคม 2567 โดยไม่จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิฯ จึงได้นำลูกจ้างเข้าสู่กลไกการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานของรัฐระดับจังหวัดดังนี้

1. วันที่ 14 มีนาคม 2567 เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้พาลูกจ้างไปสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต เพื่อเขียนคำร้อง คร.7 ให้สำนักงานสวัสดิการฯตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายคุ้มครอง แต่ในวันดังกล่าวสำนักงานสวัสดิการฯได้ติดต่อเรียกนายจ้างมาไกล่เกลี่ยก่อนเขียนคำร้อง คร.7 โดยไม่แจ้งหรือสอบถามลูกจ้างว่าลูกจ้างประสงค์จะพบนายจ้างเพื่อไกล่เกลี่ยหรือไม่ ทำให้ลูกจ้างทั้ง สิบสี่รายไม่ได้เขียนคำร้องเนื่องจากใช้เวลาไปกับการเจรจาไกล่เกลี่ยกับนายจ้าง ผลการเจรจาไกล่เกลี่ยไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจากนายจ้างเสนอจ่ายต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯได้ให้คำปรึกษาแก่ลูกจ้างโดยสามารถเขียนคำร้อง คร.7 ต่อสำนักงานสวัสดิการฯและสามารถยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลแรงงานภาค 8 ได้ลูกจ้างทั้ง 14 รายจึงประสงค์จะดำเนินการยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลแรงงาน

2. เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้พาลูกจ้างจำนวน 6 ราย ซึ่งยังไม่มีงานทำ ยื่นขอรับเงินกรณีว่างงานที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดภูเก็ตและสำนักงานจัดหางานจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินกรณีว่างงาน ลูกจ้างทั้ง 6 ราย ได้รับเงินกรณีว่างงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 39,862.95 บาท

3. ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2567 ลูกจ้างทั้ง 14 รายได้เป็นโจทก์ โดยมอบอำนาจให้ทนายความมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนายื่นฟ้องนายจ้างเป็นคดีแรงงานต่อศาลแรงงานภาค 8 เรียกค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยเป็นเงินจำนวน 1,431,952.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ทนายความมูลนิธิฯผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้ง 14 ราย ผู้ประนีประนอม และกรรมการบริษัทฯ เข้าร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจากนายจ้างเสนอจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ศาลจึงกำหนดวันกำหนดประเด็นข้อพิพาทในวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ก่อนถึงวันกำหนดประเด็นข้อพิพาท นายจ้างได้ยื่นข้อเสนอจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง ซึ่งมีลูกจ้างจำนวน 3 รายรับข้อเสนอของนายจ้างเนื่องจากลูกจ้างทั้ง 3 ราย มีอายุงานไม่ถึง 1 ปี จึงได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดและถอนฟ้องศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความในวันกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว โดยลูกจ้างทั้ง 3 ราย ได้รับเงินจำนวนรวมทั้งสิ้น47,400 บาท คงเหลือลูกจ้าง 11 ราย ศาลได้นัดสืบพยานในวันที่ 30 – 31 กรกฎาคม 2567 และวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ก่อนวันสืบพยานนัดแรก ลูกจ้างจำนวน 1 รายแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯว่าต้องการถอนฟ้องและยินยอมรับเงินจากนายจ้างเป็นเงินจำนวน 22,200 บาท จากยอดเงินตามกฎหมายจำนวน 132,060 บาท เนื่องจากมีความจำเป็นส่วนตัว เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯจึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องลูกจ้างรายดังกล่าวและศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และลูกจ้างจำนวน 2 รายตกลงรับเงินจากนายจ้างคนละ 33,300 บาท รวมเป็นเงิน 66,600 บาท จากยอดเงินตามกฎหมายรวม 177,600 บาท เนื่องจากมีความจำเป็นส่วนตัว โดยให้นายจ้างผ่อนชำระจำนวน 4 งวด โดยจะจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความในวันสืบพยาน ในวันสืบพยานนัดแรก ทนายโจทก์ โจทก์ที่ 14 ล่าม กรรมการบริษัท 2 ราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัท เข้าร่วมการสืบพยาน และเนื่องจากคดีแรงงานเป็นคดีที่กฎหมายกำหนดให้มีการไกล่เกลี่ยได้ตลอดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ในวันสืบพยานดังกล่าวจึงสามารถไกล่เกลี่ยตกลงกันได้จึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยลูกจ้างจำนวน 8 ราย ตกลงรับเงินจำนวนรวมทั้งสิ้น 699,900 บาท โดยลูกจ้างได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดแต่เป็นการจ่ายแบบผ่อนชำระซึ่งจำนวนงวดของลูกจ้างแต่ละรายไม่เท่ากัน เนื่องจากอายุงานต่างกัน หากนายจ้างผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่งของลูกจ้างคนใดคนหนึ่ง ยินยอมให้บังคับคดีได้ทันที พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น


ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
info@hrdfoundation.org