This post is also available in:
English
ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ, HRDF เรียบเรียง
Fair Finance, ภาพประกอบ

วันที่ 17 กันยายน 2568 เวลา 16.00 น. ที่องค์การสหประชาชาติ ประเทศไทย มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) และเครือข่ายภาคประชาสังคมหลายองค์กร ได้ร่วมเวที UN Responsible Business and Human Rights Forum 2025 (UNRBHR) ในหัวข้อ “Beyond Crisis: Innovating Community-Led Approaches for Remedy and Corporate Accountability” ซึ่งได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า “การขับเคลื่อนจากฐานชุมชน” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงอุดมคติ หากแต่คือพลังจริงที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ และขยายโอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไฮไลต์จากเวทีวิทยากร
- กรณีแรงงานข้ามชาติฟ้อง Tesco – ตัวอย่างของ การฟ้องร้องโดยชุมชน ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้เห็นถึงอำนาจของความร่วมมือระหว่างผู้ได้รับผลกระทบและองค์กรสิทธิมนุษยชน (HRDF)
- Samta Nyay Kendra, อินเดีย – คลินิกกฎหมายที่ขับเคลื่อนการยอมรับสิทธิของ คนข้ามเพศ และส่งเสริม การจ้างงานที่เท่าเทียม (APSWDP India)
- Community-Based Human Rights Assessment (COBHRA) – การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนโดยชุมชน ที่ทำให้ เสียงของผู้มีสิทธิอยู่ศูนย์กลาง ของการตัดสินใจ (Oxfam in Asia)
- กลไก OECD NCP จากเกาหลีใต้ – ประสบการณ์ที่เผยให้เห็นทั้ง ข้อจำกัดและคุณค่า ของช่องทางร้องเรียนระหว่างประเทศในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (KHIS)
สาระสำคัญของการเสวนาครั้งนี้ ว่าด้วยประเด็นสำคัญอย่างการมีส่วนร่วมของผู้มีสิทธิในกระบวนการเยียวยา ช่องว่างระหว่างคำมั่นของธุรกิจกับการปฏิบัติจริง และความท้าทายในการสร้าง กลไกร้องทุกข์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งเวทีนี้จัดขึ้นโดย Oxfam in Asia, APSWDP India และ Sal Forest ร่วมกับพันธมิตรจากมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ( HRDF), มูลนิธิรักษ์ไทย และ MAP Foundation — สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดน ที่เชื่อว่าความยุติธรรมไม่ควรเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนที่เข้าใจได้
“การฟ้องร้องไม่ใช่จุดจบของปัญหา แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดยคนทำงานเอง”

รวีพร ดอกไม้ (Raweeporn Dokmai) จาก Human Rights and Development Foundation (HRDF)
ได้เปิดการพูดคุยด้วยหัวข้อ แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมสิ่งทอ: การฟ้องร้องที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คุณรวีพรได้สะท้อนบทเรียนสำคัญจากกรณีแรงงานเมียนมา 136 คนที่ฟ้องบริษัทผลิตเสื้อผ้า VK Garment (VKG) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของ Tesco ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คดีที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ
ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ
- ข้อเท็จจริงของคดี แรงงานต้องทำงานถึง 99 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ได้ค่าแรงเพียง 120 บาทต่อวัน และทำงานในสภาพที่ไม่ปลอดภัย
- การดำเนินคดี กลุ่มแรงงานยื่นฟ้องเรียกค่าชดเชยกว่า 34 ล้านบาท แต่ศาลไทยตัดสินให้ 6.8 ล้านบาท โดยใช้เกณฑ์คำนวณจากกฎของบริษัท ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดเชิงระบบของการเยียวยาในประเทศ
- บทบาทของภาคประชาสังคม องค์กร HRDF ร่วมกับทีมกฎหมายจากสหราชอาณาจักร ให้การสนับสนุนแรงงานตลอดกระบวนการ ทั้งด้านความเข้าใจทางกฎหมายและการเสริมพลัง (empowerment) ให้พวกเขาเป็นผู้ปกป้องสิทธิของตนเอง
- ความท้าทายที่พบ แรงงานข้ามชาติมักถูกละเมิดสิทธิ เช่น การจ่ายค่าแรงต่ำ การบังคับทำงานเกินเวลา และการถูกบังคับให้เซ็นเอกสารเท็จเพื่อหลอกผู้ตรวจสอบโรงงาน
- ผลลัพธ์และความหมาย แม้คดีจะดำเนินมากว่า 5 ปี แต่ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญ ทำให้แรงงานตระหนักในสิทธิของตนเอง และเปิดพื้นที่ให้เครือข่ายระดับโลกช่วยกันขับเคลื่อนประเด็นนี้ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
- เป้าหมายระยะยาว ใช้กรณีนี้เป็นแรงผลักให้เกิด มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลในห่วงโซ่อุปทาน (global supply chain) เพื่อให้บรรษัทข้ามชาติรับผิดชอบต่อแรงงานทุกคน ไม่ว่าธุรกิจจะดำเนินอยู่ที่ใด
“เมื่อชุมชนได้เป็นผู้นำในการประเมิน เราจะไม่เพียงได้ข้อมูลที่แท้จริงขึ้น — แต่ยังได้การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนมากกว่าเดิม”

รภัสสา ไตรรัตน์ ตำแหน่ง Private Sector Programme Manager, Oxfam in Asia นำเสนอ หัวข้อคืนอำนาจให้ชุมชนด้วยเครื่องมือ “การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่นำโดยชุมชน” (Community-Led Human Rights Impact Assessment – CLHRIA / COBRA) คุณรภัสสา ได้นำเสนอเครื่องมือ COBRA หรือ Community-Led Human Rights Impact Assessment ที่พัฒนาโดย Oxfam in Asia เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้นำในการประเมินผลกระทบของกิจกรรมทางธุรกิจต่อสิทธิมนุษยชนของตนเอง ไม่ใช่แค่ “ถูกประเมิน” แต่ “ประเมินด้วยตนเอง”
ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ หลักการของเครื่องมือ COBRA เป็นการประเมินที่ คู่ขนานกับสิ่งที่บริษัทดำเนินการ เพื่อสะท้อนมุมมองของผู้ถือสิทธิ (rights-holders) อย่างแท้จริง มุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในฐานะ “ผู้ถือสิทธิ” ไม่ใช่เพียง “ผู้ได้รับผลประโยชน์” เสริมพลังให้ชุมชนเข้าถึง เครื่องมือและความรู้ ในการปกป้องสิทธิตนเอง โดยช่วยระบุว่ากลุ่มใดได้รับผลกระทบมากที่สุด และผลกระทบนั้นมีลักษณะอย่างไร เน้นการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนและแรงงานสามารถพูดคุยกับบรรษัทอย่างเท่าเทียม เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมร่วมกัน
กระบวนการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย (Meaningful Participation)
- ต้องเริ่มตั้งแต่ ต้นกระบวนการ ก่อนที่โครงการหรือกิจกรรมของบริษัทจะเริ่ม
- ไม่ใช่การ “ขูดรีดข้อมูล” จากชุมชน แต่เป็น การแลกเปลี่ยนความรู้สองทาง
- ให้เวลาแก่ชุมชนในการทำความเข้าใจและพูดคุยร่วมกัน แทนที่จะสัมภาษณ์รายบุคคลซึ่งอาจทำให้แรงงานไม่กล้าแสดงความเห็น
- ใช้ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง — ยกตัวอย่างในลาตินอเมริกา ที่การใช้ภาษาอังกฤษโดยบริษัททำให้ชุมชนไม่เข้าใจและไม่สามารถมีส่วนร่วมได้
- บทบาทของ NGO หรือ INGO ควรเป็น ผู้สนับสนุน (facilitator) ไม่ใช่ผู้ชี้นำหรือแทนที่เสียงของชุมชน
เป้าหมายสูงสุดของ COBRA เพื่อ “คืนอำนาจให้กับผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด” ให้พวกเขามีสิทธิ์ในการกำหนดแนวทางการเยียวยาและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง เพราะความยุติธรรมที่แท้จริงต้องเริ่มจากเสียงของผู้ที่ถูกกระทบโดยตรง
“ความเท่าเทียมไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิ แต่คือรากฐานของสังคมที่ทุกคนมีที่ยืน และมีโอกาสใช้ศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่”

ราจีฟ กุมาร (APSWDP อินเดีย) จากคลินิกให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย Samta Nyay Kendra ได้กล่าวในเวทีนี้ในหัวข้อ: นวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม: คลินิกกฎหมายสำหรับคนข้ามเพศในอินเดีย ซึ่งกำลังก้าวหน้าในการส่งเสริมสิทธิของคนข้ามเพศ ผ่านการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การจ้างงานที่ครอบคลุมความหลากหลาย และรูปแบบการเสริมพลังที่สามารถขยายผลได้ ใช้แนวทางการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากฐานชุมชน เพื่อให้กลุ่มคนข้ามเพศในอินเดียเข้าถึงสิทธิและโอกาสอย่างเท่าเทียมในทุกมิติของชีวิต
ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ เขาได้เล่าถึงสถานการณ์ปัญหาที่เผชิญของกลุ่มคนข้ามเพศในอินเดียถูกเลือกปฏิบัติและคุกคามในหลายรูปแบบ ทั้งในด้าน การเข้าถึงกฎหมาย การศึกษา การสาธารณสุข และตลาดแรงงาน ซึ่งทำให้พวกเขายังคงถูกผลักให้อยู่นอกระบบ ซึ่งทางกลุ่มเครือข่ายได้ใช้แนวทางแก้ไขเชิงนวัตกรรม “การก่อตั้ง คลินิกกฎหมายฟรี” ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โดยมี 4 วัตถุประสงค์หลัก 1) ช่วยให้กลุ่มคนข้ามเพศเข้าถึงเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชนและบัตรเลือกตั้ง 2) สร้างความตระหนักรู้และการยอมรับในสังคม 3) ส่งเสริมเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ผ่านการสร้างรายได้และอิสระทางการเงิน และ 4) สร้างความยั่งยืนระยะยาวผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 3 ปี คลินิกให้คำปรึกษาแก่ 180 คน และช่วยเหลือ 200 กรณี ในการเข้าถึงเอกสารทางราชการที่จำเป็น สนับสนุนการจ้างงาน และได้รับ รางวัลระดับประเทศ จนโมเดลนี้ถูกขยายไปตั้งคลินิกเพิ่มอีก 5 แห่งในภาคใต้ของอินเดีย
ความหมายที่ลึกกว่ากฎหมาย คลินิกให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย Samta Nyay Kendra กล่าวว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงการให้บริการด้านกฎหมาย แต่เป็นการสร้างพื้นที่แห่งศักดิ์ศรี ที่เชื่อมโยงระหว่าง สิทธิมนุษยชน ธุรกิจ และความเท่าเทียมทางสังคม เพื่อให้การจ้างงานในอนาคต “เปิดกว้างและเท่าเทียมสำหรับทุกคน”
“กลไกอย่าง NCP อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นก้าวแรกของการสร้างความรับผิดชอบในโลกธุรกิจ ที่จะต้องพัฒนาให้เป็นระบบที่ฟังเสียงผู้เสียหายได้จริง”

ฮยอนพิล นา Hyunpil Na (KHIS, เกาหลีใต้) นักพัฒนาสังคม ได้กล่าวถึงหัวข้อ กลไกจุดประสานงานแห่งชาติของ OECD (OECD National Contact Point: NCP) และได้นำเสนอบทเรียนจากกลไก NCP ของ OECD ในเกาหลีเผยให้เห็นทั้งข้อจำกัดและคุณค่าในการช่วยดึงความสนใจไปที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านบทเรียนจากเกาหลีใต้
คุณ Hyunpil Na ได้นำเสนอประสบการณ์จากการทำงานภายใต้ กลไก OECD National Contact Point (NCP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสมาชิก OECD เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยบริษัทข้ามชาติ โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศสมาชิกตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ เพื่อชี้ให้เห็นบทบาทของ NCP ที่ทำหน้าที่เป็น เวทีกลางสำหรับการเจรจาและการไกล่เกลี่ย ระหว่างผู้ร้องเรียนกับบริษัทที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้เป็นกระบวนการยุติธรรมแบบศาล แต่เป็นช่องทางหนึ่งในการผลักดันให้เกิดความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสิทธิมนุษยชน
ความท้าทายของ NCP เกาหลีใต้ ที่เสนอในเวทีนี้ คือ จนถึงปัจจุบัน NCP ของเกาหลี ยังไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่ผู้ร้องเรียนได้มีกรณีศึกษาที่โดดเด่น เช่น กรณี Post-Core India กรณีการลงทุนของบริษัทเกาหลีในเมียนมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคณะรัฐประหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ยังได้สะท้อนถึงข้อจำกัดของ NCP เช่น ขาดทรัพยากรและอำนาจบังคับใช้ ไม่มีระบบติดตามหรือประเมินผลการทำงานของ NCP แต่ละประเทศ ทำหน้าที่เป็นเพียง “พื้นที่เจรจา” มากกว่ากระบวนการยุติธรรมที่สามารถลงโทษหรือเยียวยาได้จริง และข้อเสนอและแนวทางข้างหน้า คุณ Hyunpil Na เสนอให้ประเทศในภูมิภาค เช่น ไทยและอินโดนีเซีย พิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD เพื่อจะได้มี กลไก NCP ของตนเอง ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ จากสถานการณ์ในเกาหลีใต้ ปัจจุบันมีความพยายามผลักดัน กฎหมาย Human Rights Due Diligence (HRDD) เพื่อให้บริษัทต้องตรวจสอบความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ยังมุ่งเน้นเพียงบริษัทขนาดใหญ่ และเน้นการ “ป้องกันการละเมิดในอนาคต” มากกว่าการ “เยียวยาผู้เสียหายในปัจจุบัน”




