Public Statement Review the imposition of Martial Law to control migrant workers In tourist attractions of Surat Thaniแถลงการณ์ เรียกร้องให้ทบทวน การบังคับใช้กฎอัยการศึก เพื่อควบคุมแรงงานข้ามชาติ ในพื้นที่ท่องเที่ยว จังหวัดสุราษฎร์ธานี

On 30 October 2014^[1], the Public Relations Department reported results of the meeting between Governor of Surat Thani and security agencies which plan to enforce stringent security measures to protect tourists in Koh Samui, Koh Pa-ngan and Koh Tao in the wake of the murder of two British tourists on Koh Tao on 15 September 2014. It was said that migrant workers Koh Samui, Koh Pa-ngan and Koh Tao shall be subject to control and disallowed to associate with any tourist after 10.00pm. The Human Rights and Development Foundation (HRDF) would like to share our concern regarding the use of such measure as follows;

1. Crime that has taken place in Koh Samui, Koh Pa-ngan and Koh Tao is not dissimilar to other criminal acts that have also taken place in other parts of the country. They could be committed by any individuals, not limited just to migrant workers. The malicious acts can be committed by any perpetrators who exist in all society and ethnic groups and everywhere. The plan to impose measures and prohibitions or restriction of rights invoking Martial Law exclusively against migrant workers including banning them from leaving their residences after 10.00pm indicates a stereotypical attitude of the authorities that migrant workers tend to commit crime. It is tantamount to discriminating against them based on their racial profile, which is not only a breach to the Constitution, but also international obligations which Thailand is obliged to follow including the International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination (ICERD). It will eventually lead to social unrest and affect relations with neighboring countries.

2. That the authorities are about to impose restrictions exclusively on migrant workers invoking the murder of two British tourists in Ko Tao in last September shows how they have already assumed that the alleged offenders, the two migrant workers, are the real culprits in this case. Otherwise, it is an attempt to mislead society even though the investigation by police officials has been questioned by concerned people including the damaged parties, the alleged offenders and international community.  Such attitude of the officials has led to their flouting the rule of law by ignoring the presumed innocence principle.

3. Various measures can be meted out to deter criminal acts without having to resort to special law such as Martial Law and discriminatory measure against migrant workers. For example, an attempt can be made to reduce the number of entertainment parlors, the suppression of the power of influential persons, etc. Most importantly, law enforcement officers, particularly, the police have to cooperate and work under supervision of the administrative agencies. They are supposed to perform their duties honestly with integrity and with no corruption. No collusion should be made with local mafia and they should not fear any influential groups. They have to perform their duties professionally to garner trust from people and to cooperate with the authorities to provide for public order and crime suppression.

4.  The state should not promote tourism by allowing more entertainment parlors to spring up without considering their impact on local morals, culture, the environment and society. They should not just focus on bringing in revenue from foreign tourists which benefits only a handful of people at the vast expense of people all over the country as we are losing our decent culture and tradition, our good environment and the rising crime.

HRDF would like to urge the government and the Surat Thani authorities to review the plan to exclusively impose restriction on the rights of migrant workers including the prohibition that bars migrant workers from leaving their residences after 10.00pm.

Human Rights and Development Foundation (HRDF)

4 November 2014

For more information, please contact

Ms.Preeda Tongchumnum, Assistant to secretary general 089 459 0212, 02 277 6882

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557[1] ที่ผ่านมา กรมประชาสัมพันธ์ได้รายงานผลการประชุมหารือระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด สุราษฎร์ธานี กับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวใน พื้นที่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่าให้มีความเข้มงวดยิ่งขึ้น อันสืบเนื่องมาจากคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวที่เกิดในพื้นที่เกาะเต่าเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่าจะควบคุมแรงงานข้ามชาติ ในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า มิให้ออกมามั่วสุมกับนักท่องเที่ยวหลังเวลา 22.00 มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา มีข้อห่วงใยต่อการกำหนดและใช้มาตรการดังกล่าว ดังนี้

1. อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆของประเทศ ที่อาจเกิดขึ้นจากบุคคลและด้วยสาเหตุต่างๆกัน มิได้เกิดจากแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เกิดจากบางคนเช่นคนไม่ดี ซึ่งมีอยู่ทุกสังคม ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ และทุกๆที่  การใช้มาตรการทางนโยบาย กฎหมายและการปฏิบัติที่ห้ามหรือจำกัดสิทธิโดยใช้กฎอัยการศึก โดยเลือกใช้เฉพาะกับแรงงานข้ามชาติ เช่นการห้ามออกนอกเคหสถานหลัง 22.00 น. แสดงให้เห็นถึงทัศนคติผิดๆของเจ้าหน้าที่ว่า แรงงานข้ามชาติโดยทั่วไปมีแนวโน้มที่จะเป็นอาชญากร เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่ไม่เป็นธรรมต่อแรงงานข้ามชาติ ซึ่งนอกจากเป็นการขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบอีกด้วย การเลือกปฏิบัติดังกล่าว ในที่สุดอาจก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคมและอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ประเทศเพื่อบ้านด้วย

2. การที่ทางราชการจะใช้มาตรการจำกัดสิทธิเฉพาะต่อแรงงานข้ามชาติโดยอ้างกรณีการฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองรายที่เกิดขึ้นที่เกาะเต่าในเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ทางราชการเชื่อว่าผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติ เป็นผู้กระทำผิดจริง หรือชี้นำให้สังคมมีความเชื่อเช่นนั้น ทั้งๆที่การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีดังกล่าวถูกโต้แย้งจากผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้เสียหาย ผู้ต้องหา นานาชาติ และสังคมมากมาย ความเชื่อดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นผู้กระทำผิด

3. การป้องกันอาชญากรรมนั้น สามารถทำได้ด้วยการใช้มาตรการต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษตามกฎอัยการศึกและการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ เช่น การลดแหล่งอบายมุข การกำจัดอิทธิพล ที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องให้ความร่วมมือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงตรง ไม่ทุจริตคอรัปชั่น  ไม่สมคบหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลท้องถิ่น หรือเกรงกลัวอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น ทั้งต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม

4. รัฐไม่ควรส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการสนับสนุนแหล่งอบายมุข กิจกรรมที่ไม่คำนึงถึงศีลธรรมและวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสังคม เพียงเพื่อต้องการที่จะให้นักท่องเที่ยวนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายเท่านั้น ซึ่งผลประโยชน์จะตกอยู่กับคนส่วนน้อย แต่สังคม คนส่วนใหญ่และประเทศชาติกลับต้องจ่ายไปในราคาแพงด้วยการสูญเสียวัฒนธรรมอันดีงาม สภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี และปัญหาอาชญากรรม

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล และทางการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ทบทวนความดำริที่จะใช้มาตรการจำกัดสิทธิแรงงานข้ามชาติอย่างเลือกปฏิบัติ ด้วยการใช้นโยบายและกฎหมายห้ามแรงงานข้ามชาติออกจากเคหสถานหลังเวลา 22.00 น. ดังกล่าว

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา

 4 พฤศจิกายน 2557