This post is also available in:
English

191/2 หมู่ 1 ต.หนองควาย
อ.หางดง เชียงใหม่ 50230
17 กรกฎาคม 2568
เรื่อง ขอโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ออกมาเป็นทรัพยากรแรงงานที่มีคุณภาพของสังคมไทย
เรียน ประธานและสมาชิก
คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิูรูปประเทศ
คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมาธิการการแรงงาน
คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ
และ คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ของสภาผู้แทนราษฎร
สิ่งที่ส่งมาด้วย : เอกสารสรุปข้อมูลผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวชายแดนไทย-เมียนมา
นับแต่ปีพ.ศ. 2527 หรือ 41 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เป็นบ้านหลังที่สอง หรือบ้านแห่งเดียว ของผู้หนีภัยการสู้
รบและครอบครัวจากประเทศเมียนมาหลายแสนคน แม้คนกว่าแสนจะได้รับโอกาสไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม
แล้ว สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่รัฐชาติพันธ์ุติดชายแดนไทย-เมียนมาที่ไม่เคยยุติตลอด 4 ทศวรรษ ก็ส่งผลให้ยังมีผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงและกะเรนนี พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว9 แห่งในจ.แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรีอยู่กว่าแสน (107,502 คน,TBC, มิ.ย. 2568) ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ได้รับการสำรวจบันทึกไว้ในฐานข้อมูล UNHCR – กระทรวงมหาดไทย 80,813 คน
ภาคประชาสังคมพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาและเครือข่าย มีความยินดีอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมา ได้
บริหารจัดการให้ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงฯได้รับความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พัก การศึกษา การบริการสุขภาพ และอื่น ๆจากองค์กรมนุษยธรรมนานาชาติและไทยอย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดี นโยบายที่ให้ผู้ลี้ภัยอยู่รอดด้วยการพึ่งพาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้ออกไปทำงานเลี้ยงชีพได้นั้น อาจมีความเหมาะสมแต่กับเพียงสถานการณ์ฉุกเฉินชั่วคราว มิใช่การพลัดถิ่นฐานอันยืดเยื้อ ดังที่เป็นอยู่ตามข้อเท็จจริงที่ว่า พื้นที่พักพิงฯแต่ละแห่งตั้งอยู่เนิ่นนานมาร่วม 30ถึงกว่า 40 ปี จนกระทั่งมีประชากรรุ่นลูกเกิด เติบโต และสร้างครอบครัวอยู่ภายในรั้วลวดหนามจนถึงรุ่นหลานแล้ว
เราทั้งหลายต่างตระหนักดีว่า สภาพดังกล่าวนี้ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปอีกได้ ผู้บริจาคนานาชาติจำเป็นที่จะต้อง
จัดสรรทรัพยากรไปบรรเทาวิกฤตมนุษยธรรมอื่นในโลก ขณะที่ผู้ลี้ภัยเองก็เป็นมนุษย์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยแรงขับและศักยภาพตามธรรมชาติที่จะพึ่งพาตนเอง การฝืนธรรมชาติไม่ให้ผู้คนออกไปเป็นทรัพยากรมนุษย์ของสังคมไทยและโลก ได้นำไปสู่ปัญหาความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และปัญหาสังคมในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สืบเนื่องมาจากความกดดันสิ้นหวังของเด็กและเยาวชน ที่มองไม่เห็นว่าการศึกษาจะนำพาพวกเขาไปสู่โอกาสและอนาคตที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมภายนอกได้อย่างไร
ผู้หนีภัยการสู้รบอย่างน้อยร้อยละ 40 เกิดในประเทศไทย หรือเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เป็นเด็กเล็กไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในรัฐอื่นใดนอกจากรัฐไทย หรือจะเรียกได้ว่า ไทยเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกเขาก็ว่า
ได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อพิจารณาว่า ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (completed aged society) แล้ว การเปิด
โอกาสให้ผู้ลี้ภัยซึ่งมีไทยเป็นบ้านที่สองหรือบ้านหลังเดียวของตน อีกทั้งยังมีตัวตนและที่อยู่-เลขที่บ้านในฐานข้อมูลหรือทะเบียนครัวเรือนของกระทรวงมหาดไทยแล้ว ได้ออกมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย จึงเป็นทั้งทางออกสำหรับวิกฤตมนุษยธรรม และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างประชากรไปพร้อม ๆ กัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้หนีภัยการสู้รบจำนวนไม่น้อยก็ได้ใช้ศักยภาพในการเป็นกำลังแรงงานอันสำคัญให้แก่ชุมชนท้องถิ่นอยู่ ทว่าการออกจากพื้นที่พักพิงฯไปทำงานนั้นคือความเสี่ยงที่ทั้งผู้ทำงานและนายจ้างจะต้องแบกรับ เนื่องจากถือเป็นความผิดตามกฎหมายที่จะถูกจับกุมดำเนินคดีเมื่อไรก็ได้
เรา ภาคประชาสังคมพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาและเครือข่ายเชื่อว่า เมื่อมนุษย์มีศักยภาพและความประสงค์ที่
จะรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การบริหารจัดการเพื่อจัดระเบียบการเปลี่ยนผ่านจากเงื่อนไขการพึ่งพาเดิมจึงคือความ
จำเป็น ล่าสุด เมื่อมีประกาศองค์กรมนุษยธรรมว่าความช่วยเหลือด้านการบริการสุขภาพในพื้นที่พักพิงฯ 7 แห่ง และด้าน
อาหารในทุกแห่งจะต้องยุติลงหลัง 31 กรกฎาคม 2568 นี้ เราจึงเห็นความจำเป็นที่จะนำเสนอข้อเสนอแนะจากการศึกษาข้อมูลและความคิดเห็นจากทั้งผู้หนีภัยการสู้รบ เจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น ชุมชนท้องถิ่น องค์กรเอกชน ตลอดจนภาคธุรกิจชายแดนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้ท่านช่วยพิจารณา และผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้ต่อไป กล่าวคือ
- เพื่อคลี่คลายวิกฤตมนุษยธรรม รัฐบาลไทยควรอนุมัติโครงการนำร่องเพื่อจัดระเบียบการออกมาทำงานของผู้
หนีภัยการสู้รบในขอบเขตพื้นที่ชายแดนโดยเร่งด่วน ผู้หนีภัยการสู้รบที่มีบัตรประจำตัวและทะเบียนครัวเรือน
ในพื้นที่พักพิงฯกับกระทรวงมหาดไทย ควรได้รับอนุญาตให้ออกมาทำงานแบบไป-กลับในพื้นที่ตำบลที่ตั้งพื้นที่พัก
พิงฯและใกล้เคียงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน ขณะที่กระบวนการปรึกษาหารือเและออกแบบการบริหาร
จัดการที่เป็นระบบสำหรับขอบเขตเวลาและพื้นที่ที่กว้างขึ้นจะต้องได้รับการเร่งดำเนินไปควบคู่กัน - เพื่อประกันความสำเร็จของโครงการ รูปแบบการจัดการควรมาจากการปรึกษาหารือระหว่างรัฐกับนายจ้าง
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรมนุษยธรรม และภาคประชาสังคมผู้ลี้ภัยในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งอาจมี
สภาพแวดล้อมและความต้องการแรงงานต่างกัน การประเมินโครงการสม่ำเสมอเป็นระยะสั้นในช่วงแรกจะเป็น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบ และสามารถนำไปสู่การขยายพื้นที่ต่อไปได้ในอนาคต - เพื่อให้ผู้หนีภัยการสู้รบเข้าถึงโอกาสการเป็นทรัพยากรแรงงานได้จริง ระบบการจ้างงานจะต้องมีขั้นตอนน้อย
ที่สุด และไม่คิดค่าธรรมเนียมการทำบัตรประจำตัวกับใบอนุญาตทำงานจากผู้หนีภัยการสู้รบ ซึ่งมีตัวตนกับ
ที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยแล้ว และไม่อยู่ในสถานะทางเศรษฐกิจที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายในการเข้า
ถึงสิทธิการทำงานได้ - เพื่อพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ ศักยภาพด้านภาษาไทยเป็นทักษะอาชีพที่สำคัญและจำเป็นต้องได้รับการ
พัฒนาโดยเร่งด่วนเข้มข้นที่สุด รัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการจัดการเรียนการ
สอนภาษาไทยในพื้นที่พักพิงฯทุกแห่ง ทั้งในรูปแบบหลักสูตรเร่งรัดสำหรับแรงงาน หลักสูตรการศึกษานอก
โรงเรียน (กศน.) และสอดแทรกในทุกหลักสูตรการศึกษาที่ดำเนินอยู่ในพื้นที่พักพิงฯ - เพื่อความมั่นคงของรัฐและประสิทธิภาพในการวางแผนการบริหารจัดการ รัฐบาลควรประสานความร่วมมือกับ
UNHCR เปิดการสำรวจ คัดกรอง ทำฐานข้อมูลทางทะเบียนให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงฯ ที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบทั้งหมดมิให้ต้องเป็นประชากรแฝงอยู่ต่อไป
บุคคลสามารถเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อสังคมได้หากสังคมเปิดโอกาส ผู้ลี้ภัยคือมนุษย์ที่สามารถเป็น
ทางออกของปัญหา เป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเป็นศักยภาพของประเทศไทย ทั้งนี้ เราทั้งหลายยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล และสนับสนุนการดำเนินการที่จะเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ออกมาเป็นทรัพยากรแรงงานที่มีคุณภาพของสังคมไทยต่อไป
ด้วยความศรัทธาในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง (KRC)
องค์การสตรีชาวกะเหรี่ยง (KWO)
เครือข่ายเพื่อสันติภาพชาวกะเหรี่ยง (KPSN)
เครือข่ายนักเรียนชาวกะเหรี่ยง (KSNG)
คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเรนนี (KnRC)
องค์การสตรีชาวกะเรนนี (KnWO)
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน (FWB)
โครงการ Bridging Voices
สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (CIPT)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)
ติดต่อ :
- อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ad*****************@***il.com
- พรสุข เกิดสว่าง มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน bo**************@***il.com
- พัชรา สุร่า เครือข่ายเพื่อสันติภาพชาวกะเหรี่ยง kp****@***il.com




