This post is also available in:
English
“สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันคือการยืนยันว่า ทุกคนคือมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน”
— รองศาสตราจารย์ ดร.โคทม อารียา
ตลอดระยะเวลา 25 ปีแห่งการทำงาน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (Human Rights and Development Foundation – HRDF) ที่ยืนหยัดอยู่แนวหน้าในการปกป้องสิทธิของแรงงานข้ามชาติและกลุ่มผู้เปราะบางในสังคมไทย ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ความยุติธรรมไม่ควรมีพรมแดน”

- จุดเริ่มต้นจากความเชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
รากของ HRDF ฝังอยู่ในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของไทย รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพลหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง เล่าย้อนถึงบรรยากาศหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ว่าเป็นช่วงที่คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามกับอำนาจ และเชื่อมั่นในพลังของประชาชน เขาเองเริ่มต้นจากการร่วมงานกับ “สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL)” ก่อนจะมีโอกาสร่วมกับคุณสมชาย หอมลออ และนักสิทธิมนุษยชนอีกหลายคนในการก่อตั้ง HRDF
“เมื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น แรงงานต่างด้าวมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา แต่กลับขาดการคุ้มครอง HRDF จึงเกิดขึ้นเพื่อให้เสียงของพวกเขาไม่ถูกละเลย”
— รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล

ภาพ : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล กรรมการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
ม.ร.ว. พฤทธิสาณ กล่าวว่า HRDF ถูกออกแบบให้เป็นองค์กรที่เชื่อมระหว่าง “สิทธิมนุษยชน” กับ “การพัฒนา” ในทางปฏิบัติ ไม่เพียงปกป้องแรงงาน แต่ยังเสนอแนะแนวทางปรับปรุงกฎหมาย จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาในพื้นที่ชายแดน และขยายงานสู่ระดับนโยบาย นอกจากนี้การก่อตั้ง สถาบันสิทธิมนุษยชนเอเชีย (AIHR) ซึ่งเป็นแขนวิชาการของ HRDF ที่ทำงานด้านการอบรมและวิจัย เพื่อให้สังคมไทยเข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนไม่ใช่แนวคิดตะวันตก แต่เป็นรากที่พบได้ในทุกศาสนาและวัฒนธรรมในเอเชีย หนังสือ “สิทธิของเรา สิทธิมนุษยชน” ที่สถาบันผลิตขึ้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเข้าใจง่ายและใกล้ตัวมากขึ้น
“HRDF ไม่ได้ทำเพื่อแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เพื่อสังคมไทยที่ยุติธรรม และเข้าใจความเป็นมนุษย์ของทุกคน”
— รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล
- จากรากสู่การลงมือทำ: จุดยืนของผู้ก่อตั้ง

ภาพ : รองศาสตราจารย์ ดร.โคทม อารียา กรรมการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
รองศาสตราจารย์ ดร.โคทม อารียา กรรมการมูลนิธิฯ กล่าวว่า หลายคนในยุคเริ่มต้นเคยร่วมงานกับสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ก่อนจะรวมตัวกันสร้างองค์กรที่มีความต่อเนื่องและชัดเจนทางภารกิจมากขึ้น ภายใต้รูปแบบของมูลนิธิ พวกเขาเลือก “ทางแคบที่มีความหมาย” มุ่งเน้นเฉพาะการส่งเสริมสิทธิของแรงงานและแรงงานข้ามชาติ เพราะเห็นว่าแรงงานกลุ่มนี้ขาดโอกาสและสถานะทางกฎหมายที่เท่าเทียมกับแรงงานไทย
“เราต้องการให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิและโอกาสที่ควรได้รับ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนต่างชาติ แต่เพราะพวกเขาคือมนุษย์”
— สมชาย หอมลออ
คุณสมชาย หอมลออประธานมูลนิธิฯ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ HRDF ว่าเกิดขึ้นเพื่อเป็นสำนักงานในประเทศไทยสำหรับองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย ในช่วงแรก มูลนิธิเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะนักกิจกรรมพม่าที่หนีภัยในปี 1988 ก่อนจะขยายการทำงานไปสู่แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ
- การยืนหยัดในพื้นที่ที่ท้าทาย
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา คุณสมชาย ชี้ให้เห็นวิธีการทำงานของ HRDF ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จริง ตั้งแต่มหาชัย แม่สอด จนถึงภาคเหนือของประเทศไทย ผ่าน สำนักงาน 5 จังหวัด ได้แก่ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ สำนักงานสาขาเชียงใหม่ แม่สอด สมุทธสาคร และภูเก็ต ที่ลงไปทำงานเคียงข้างแรงงานอย่างต่อเนื่อง องค์กรใช้ “คดีตัวอย่าง” เป็นเครื่องมือผลักดันให้เกิดการยอมรับสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างในระดับนโยบาย และเลือกต่อสู้ด้วยวิถีทางกฎหมายประกอบกับการกดดันทางการเมืองและสังคม ผลลัพธ์คือการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม โดยไม่สร้างความขัดแย้ง แต่สร้างความเข้าใจและมนุษยธรรม

ภาพ : คุณสมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
- จากคดีตัวอย่างสู่การผลักดันนโยบาย
HRDF ใช้คดีตัวอย่างเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างมาตรฐานการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และนายจ้าง และต่อมาได้ขยายงานไปสู่การรณรงค์เชิงนโยบาย เช่น การผลักดันให้แรงงานข้ามชาติได้รับอนุญาตพำนักระยะยาว มีสิทธิ์ตามกฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานตามอนุสัญญา ILO เช่น ในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน แม้บางประเด็นยังไม่สำเร็จ แต่ทุกขั้นตอนช่วยยกระดับความเข้าใจของสังคมไทย
คุณสมชาย เน้นถึงปรัชญาการทำงานของ HRDF คือ “เท้าติดดิน มือเอื้อมถึงกลไกสากล” หมายถึง ทำงานกับแรงงานระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันใช้กลไกทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและ ILO เพื่อให้แรงงานและครอบครัวเข้าถึงสิทธิของตน
- การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
ในอีกมุมหนึ่งของ HRDF ยังมีคุณ คุณไพรัตน์ จันทร์ทอง เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิฯ ที่อยู่กับองค์กรมาเกือบตลอด 25 ปี แม้คุณไพรัตน์อาจไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง แต่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้องค์กรยืนหยัดอยู่ในพื้นที่จริง ตั้งแต่วันแรกที่ช่วยประสานงานแรงงานข้ามชาติที่แม่สอด จนถึงวันที่ HRDF มีสำนักงานทั่วประเทศ
“ตอนนั้นไม่มีใครรู้จัก HRDF ด้วยซ้ำ” เธอเล่ายิ้ม ๆ
“แต่เรารู้ว่าคนงานต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ เราเองก็เป็นคนทำงาน เลยเข้าใจเขา”
—ไพรัตน์ จันทร์ทอง

ภาพ : คุณไพรัตน์ จันทร์ทอง เจ้าหน้าที่อาวุโส มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
คุณไพรัตน์ กล่าวว่า ตนเองได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเติมไฟให้องค์กร และภูมิใจที่ได้เห็น HRDF เติบโตด้วยพลังของคนรุ่นต่อรุ่น สำหรับเธอ HRDF ไม่ได้เป็นเพียงที่ทำงาน หากคือชีวิตอีกส่วนหนึ่งที่สอนให้เข้าใจว่าความยุติธรรมคือการช่วยเหลือกันอย่างเงียบ ๆ แต่ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
“ทุกครั้งที่เห็นคนงานได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหน เรารู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่อยู่ตรงนี้”
— ไพรัตน์ จันทร์ทอง
- ความภาคภูมิใจและความโปร่งใส
คุณอโณทัย โสมา กรรมการและเหรัญญิกของมูลนิธิฯ กล่าวว่า การเดินทาง 25 ปีของ HRDF สะท้อนวิวัฒนาการของการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง ในช่วงเริ่มต้น มูลนิธิฯมุ่งให้ความช่วยเหลือโดยตรงแก่แรงงานพม่าในพื้นที่ชายแดน สนับสนุนการอบรมผู้ช่วยทนายและการให้ความรู้ด้านสิทธิขั้นพื้นฐานแก่แรงงาน ต่อมามูลนิธิได้ขยายการทำงานสู่ระดับนโยบาย ครอบคลุมแรงงานข้ามชาติทุกสัญชาติ เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
การมาถึงของเจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ ทำให้งานของ HRDF เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ทันสมัยขึ้น มีการใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ทำให้องค์กรเข้าถึงแรงงานและสาธารณะได้กว้างขึ้น เกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และความร่วมมือที่มีพลัง
“ทีมงานรุ่นใหม่ทำให้องค์กรมีพลังและความหวังมากขึ้น พวกเขาไม่ได้แค่สานต่อ แต่กำลังพาองค์กรก้าวไปข้างหน้า”
— อโณทัย โสมา

ภาพ : คุณอโณทัย โสมา กรรมการและเหรัญญิก มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
คุณอโณทัย กล่าวด้วยความภูมิใจว่า “เวลาผ่านไปไวมาก” เมื่อรู้ว่ามูลนิธิเดินทางมาถึงปีที่ 25 เธอรู้สึกซาบซึ้งในพลังของทีมงาน และยืนยันกับผู้สนับสนุนว่า การช่วยเหลือที่มอบให้ HRDF ตลอดมานั้นไม่สูญเปล่า มูลนิธิฯ ทำงานด้วยความตั้งใจ โปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เงินทุนทุกบาทถูกใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์จริงแก่แรงงานและครอบครัวของพวกเขาในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนกลับมาสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมไทยโดยรวม
- การเติบโตภายใต้ผู้นำรุ่นใหม่
คุณบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวว่า เขาเข้ามาร่วมงานกับ HRDF ในปี 2560 และได้รับตำแหน่งเลขาธิการในปี 2562 ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีในงานสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เขามองว่าหน้าที่ของตนไม่ใช่เพียงบริหารองค์กร แต่คือการต่อยอดพลังที่คนรุ่นก่อนบ่มเพาะไว้ให้มั่นคงและขยายผลต่อไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เห็น HRDF เติบโตจากองค์กรภาคประชาสังคมขนาดเล็ก สู่การเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับอาเซียน HRDF วันนี้ไม่เพียงช่วยเหลือแรงงาน แต่ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนระหว่างรัฐอาเซียน (AICHR) ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อการทำงานขององค์กร
“ความภาคภูมิใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่องค์กรเติบโตแค่ไหน แต่อยู่ที่สังคมเข้าใจ และคลี่คลายอคติได้มากเพียงใด”
— บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์

ภาพ : คุณบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
สำหรับคุณบุญแทน การเติบโตของ HRDF ไม่ได้วัดจากขนาดหรือชื่อเสียง แต่จากจำนวนหัวใจ ที่ยังเชื่อในคุณค่าของความยุติธรรมและมนุษยธรรม เขาเชื่อว่าอนาคตขององค์กรจะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่ยังคงสืบต่ออุดมการณ์เดียวกันอุดมการณ์ที่ยืนยันว่าทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม
- แก่นแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง และพลังคนรุ่นใหม่
คุณปรีดา ทองชุมนุม กรรมการมูลนิธิฯ ได้สะท้อนว่าแม้เวลาจะผ่านไป 25 ปี แก่นแท้ขององค์กรยังคงเป็น “ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง” (change agent) ที่มุ่งมั่นทำงานกับกลุ่มเปราะบาง เพื่อสร้างพื้นที่และเสียงให้สังคมได้รับฟัง และนำไปสู่ความเท่าเทียม ตนยังยินดีที่เห็น คนรุ่นใหม่มีพลังและความคิดสอดคล้องกับอุดมการณ์ขององค์กร แต่มีแรงขับเคลื่อนที่มากขึ้น ทั้งในด้านความกระตือรือร้น การใช้เทคโนโลยี และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ภาพ : คุณปรีดา ทองชุมนุม กรรมการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น ปัญหาสังคมที่เปลี่ยนช้าเมื่อเทียบกับความก้าวหน้าของโลก และเรื่องทุนที่ต้องคิดรูปแบบใหม่ คุณปรีดาเน้นว่าอนาคต HRDF ต้องสร้างทุนด้วยตนเองและยังคงเป็น เสียงของคนชายขอบ เพื่อให้สังคมและโลกเห็นคุณค่าและเสียงของแรงงานต่อไป
“HRDF จะยังคงเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง สร้างเสียงให้ผู้ที่ถูกละเลย และขับเคลื่อนสังคมสู่ความยุติธรรมและเท่าเทียม”
— ปรีดา ทองชุมนุม
- แนวทางอนาคตของ HRDF
คุณประพจน์ ศรีเทศ กรรมการมูลนิธิฯ กล่าวสรุปว่า HRDF เป็นองค์กรชั้นนำด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติ มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครอง ช่วยเหลือ และผลักดันนโยบายด้านแรงงาน เขาแนะนำว่าอนาคต HRDF ควรขยายขอบเขตแรงงานข้ามชาติ ให้ครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ และปรับวิธีทำงานเชิงกลยุทธ์ ใช้ศักยภาพบุคลากรและสื่อเพื่อสร้างผลกระทบที่กว้างขึ้น

ภาพ : คุณประพจน์ ศรีเทศ กรรมการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
นอกจากนี้ ควรขับเคลื่อนนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การสนับสนุนศาลแรงงานอิสระ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและปกป้องสิทธิแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“HRDF ต้องเป็นผู้นำในการผลักดันสิทธิแรงงานข้ามชาติให้เข้มแข็งและสร้างผลกระทบเชิงกลยุทธ์ต่อสังคมไทย”
—ประพจน์ ศรีเทศ
- ขอบคุณทุกแรงใจใน 25 ปีแห่งการเดินทาง
ในโอกาสครบรอบ 25 ปี HRDF ขอขอบคุณคณะกรรมการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ทั้งมหาชัย แม่สอด และภาคเหนือ ผลลัพธ์ของการทำงานนี้ไม่ได้เป็นของใครคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคนที่เชื่อในพลังของความยุติธรรม ตลอดเวลาที่ผ่านมา HRDF ไม่ได้เพียงต่อสู้เพื่อแรงงานข้ามชาติ แต่ยังยืนหยัดเพื่อยืนยันคุณค่าของ “ความเป็นมนุษย์” ที่เท่าเทียมกันของทุกคนในสังคมไทย และในวันข้างหน้า ภารกิจนี้จะยังดำเนินต่อไป ด้วยหัวใจของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อในความดี ความกล้า และความหวัง
“สิทธิมนุษยชนไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง มันคือเรื่องของเราทุกคน”




