ใบแจ้งข่าว: ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษนายจ้างคดีค้ามนุษย์เด็กหญิงลาวเป็น 10 ปี เพิ่มค่าปรับ และค่ารักษาพยาบาล แต่การช่วยเหลือยังไม่ถึงมือเด็กผู้เสียหาย

ตามที่มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ เด็กหญิงชาวลาวอายุไม่ถึง 15 ปี ซึ่งถูกค้ามนุษย์และถูกทารุณกรรมตั้งแต่อายุเพียง 10 ปี  ก่อนจะถูกชายคนหนึ่งในชุมชนล่อลวงและข่มขืนในเวลาต่อมา (อ่านที่มาของคดีเพิ่มเติมได้ที่ https://hrdfoundation.org/?p=2932 )

คดีค้ามนุษย์โดยการบังคับใช้แรงงาน ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่  19 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา โดยสรุป ดังนี้

  1. คดีอาญา ในความผิด ฐานค้ามนุษย์โดยบังคับใช้แรงงานซึ่งกระทำแก่บุคคลอายุไม่เกิน 15 ปีและฐานจ้างเด็กตำกว่า 15 ปี เป็นลูกจ้าง พิพากษาจำคุกจำเลย (นายจ้าง) เป็นระยะเวลา 10 ปี 12 เดือน (จากเดิม 6 ปี 16 เดือน) และปรับ 900,000 บาท (จากเดิม 600,000 บาท)
  2. ให้ริบของกลาง จากทรัพย์ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดโดยใช้เป็นอาวุธหรือเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำร้ายโจทก์ร่วม
  3. ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม เป็นเงิน 1,800,000 บาท (จากเดิม 1,500,000 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 โดยจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นการสั่งเพิ่มจากค่ารักษาพยาบาลขึ้นอีก 300,000 บาท เนื่องจากโจทก์ร่วมมีรอยแผลจำนวนมาก (396 บาดแผล) และยังเป็นเด็ก  

นอกจากนี้ทางมูลนิธิฯยังมีความคืบหน้าในการช่วยเหลือความทางกฎหมายแก่เด็กผู้เสียหาย เพิ่มเติม ดังนี้

ในส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางเพศ ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้มีคำพิพากษาไปแล้วเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ให้จำคุก นายกาหลง เมืองจันทร์ เป็นเวลา 10 ปี 3 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี คู่คดีทั้งสองฝ่ายไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้ว

การเข้าถึงค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา มูลนิธิฯได้นำโจทก์ร่วมที่เป็นผู้เสียหายในคดียื่นคำร้องขอรับเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ซึ่งกฎหมายรับรองสิทธิของผู้ถูกทำร้ายร่างกายและผู้ถูกข่มขืน คณะอนุกรรมการค่าตอบแทนจังหวัดสมุทรปราการกลับมีมติ ไม่จ่าย โดยอ้างว่าเด็กหญิง “เข้าเมืองผิดกฎหมายโดยสมัครใจ” จึงไม่ถือเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://hrdfoundation.org/?p=2330 )  

อย่างไรก็ดี มูลนิธิฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเด็กหญิงถูกหลอกจาก สปป.ลาว ขณะมีอายุเพียง 10 ปี ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ และเป็นผู้เสียหายโดยแท้จริงตามหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน การตีความดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติ ซ้ำเติมผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ และขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ จึงได้อุทธรณ์คำสั่ง และออกแถลงการณ์ถึงกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการปฏิเสธจ่ายเงินเยียวยาให้เด็กหญิงลาว กระทั่ง วันที่ 30 กันยายน 2563 คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ 314,315/2563 ให้จ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย เป็นจำนวนเงิน 100,656 บาท เนื่องจากก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 10 ปีเศษ ได้ถูกบิดาส่งตัวมาทำงานในประเทศไทย จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้เสียหายเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายด้วยความสมัครใจ (อนึ่งภายหลังจากที่ผู้เสียได้รับเงินค่าตอบแทนไปแล้ว ได้ปรากฏมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลางเพิกถอนคำนิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาฯ โดยชี้ว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรา https://hrdfoundation.org/?p=2870 อันทำให้กระทรวงยุติธรรมยกเลิกเงื่อนไขเรื่องสถานะการเข้าเมืองของผู้เสียหายในคดีอาญา)

สภาพชีวิตปัจจุบันของเด็กหญิงเอ ชาวลาว (นามสมมติ)

จากการที่มูลนิธิฯ ได้พูดคุยล่าสุด น้องเอสะท้อนความรู้สึกต่อคำพิพากษาว่า อยากให้จำเลยถูกคุมขังต่อไปให้นานที่สุด แม้จะไม่แน่ใจว่าโทษ 10 ปีเพียงพอหรือไม่  ปัจจุบันได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่ประเทศลาว และด้านสุขภาพของน้องเอยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แผลเป็นบนใบหน้าและปากยังชัดเจน ดวงตามีอาการบวมและน้ำตาไหลบ่อยจนมองเห็นไม่ชัดในข้างหนึ่ง แต่ไม่สามารถไปพบแพทย์ได้เพราะข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายและระยะทางระหว่างที่อยู่อาศัยและโรงพยาบาล บริเวณนิ้วกลางข้างหนึ่งยังเจ็บและงอไม่ได้ ส่งผลต่อการทำงานและการยกของ ส่วนแผลเป็นและความเจ็บปวดในร่างกายอื่น ๆ แม้จะจางลงแต่ยังคงเห็นได้อยู่ ในด้านผลกระทบทางจิตใจยังคงปรากฏ น้องเอฝันถึงเหตุการณ์ที่เคยถูกทำร้ายเป็นระยะ โดยเฉพาะเวลานอนหลับเดือนละ 1-2 ครั้ง แม้เคยได้รับยารักษา แต่ได้หยุดกินไปนานกว่า 3 ปีแล้วเพราะไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้

ในด้านการดำรงชีวิต น้องเอมีรายได้เพียงเล็กน้อยจากการทำงานช่วยครอบครัวและเงินช่วยเหลือประมาณ 2,000–3,000 บาท ต่อครั้ง บ้านที่อาศัยอยู่มีสภาพทรุดโทรมและต้องการซ่อมแซม เธอฝันอยากมีทุนสร้างบ้านเล็ก ๆ ที่มั่นคง และมีอาชีพของตัวเอง สำหรับอนาคต น้องเออยากเปิดร้านขายของชำ และมีความหวังที่จะกลับมาทำงานในประเทศไทยอีกครั้งในงานตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งเธอเคยมีโอกาสเรียนมาก่อน แม้จะยังมีความกลัวอยู่ แต่ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปทำงานเป็นแม่บ้านอีก

มุมมองทนายความ

ผรัณดา ปานแก้ว ทนายความมูลนิธิฯ ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้มาตั้งแต่ต้น ได้สะท้อนว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะรับฟังข้อเท็จจริงและเพิ่มโทษจำเลย แต่โทษที่กำหนดและค่าสินไหมทดแทนยังต่ำกว่าความร้ายแรงที่ผู้เสียหายต้องเผชิญตลอดหลายปี ทั้งในเชิงร่างกาย จิตใจ และผลกระทบต่ออนาคตของเด็กหญิงผู้เสียหาย จากประสบการณ์ทำคดีครั้งนี้ พบปัญหาเชิงระบบหลายประการที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ความจำเป็นที่แรงงานควรเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ ความเปราะบางของเหยื่อซึ่งในกรณีนี้เป็นเด็กต่างชาติที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ และบทบาทสำคัญของผู้ใหญ่บ้านหรือประชาชนในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ช่วยให้เหยื่อเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายได้เป็นครั้งแรก

ทนายผรัณดา ยังชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรมและความจำเป็นที่ต้องอาศัยองค์กรเอกชนช่วยประสานงานระหว่างไทยและลาวตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คดีนี้ยังสะท้อนปัญหาการดูแลพยานในคดีค้ามนุษย์โดยเฉพาะผู้เสียหายและครอบครัวต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับทนายผรัณดา คดีนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าการคุ้มครองเหยื่อค้ามนุษย์ยังมีช่องว่างหลายด้านที่ระบบยุติธรรมไทยจำเป็นต้องปรับปรุง หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบควรดูแลผู้เสียหายจนมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจก่อนการส่งกลับและติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือจนกว่าผู้เสียหายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เช่น ในคดีนี้ผู้เสียหายไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานของรัฐต้องทำให้ผู้เสียหายได้รับเงินตามคำพิพากษาเพื่อให้เกิดการเยียวยาที่แท้จริง ซึ่งในคดีนี้กรณีที่ต้องมีการบังคับคดีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้เสียหายตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในส่วนนี้ก็ต้องดำเนินการติดตามต่อไป