ใบแจ้งข่าว: ทายาทแรงงานข้ามชาติ ยื่นคำร้องคัดค้านการขออนุญาตฎีกาของสำนักงานประกันสังคม และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน  กรณีไม่จ่ายเงินทดแทนแก่ทายาทของแรงงานข้ามชาติที่เสียชีวิตเนื่องจากการทำงานจากกองทุนเงินทดแทน

เมื่อวันที่ 20  ธันวาคม 2567 ทนายความมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากทายาทแรงงานข้ามชาติ เป็นโจทก์ในคดีที่ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษภาค 5 พิพากษายืนตามศาลแรงงานว่า ทายาทของแรงงานข้ามชาติที่เสียชีวิตเนื่องจากการทำงานมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนเงินทดแทนทันที แม้นายจ้างจงใจไม่ขึ้นทะเบียนแรงงานและไม่ส่งเงินสมทบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่มาคำสั่งของคดีได้ที่ https://hrdfoundation.org/?p=4348ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขออนุญาตฎีกาของฝ่ายจำเลยทั้งสาม ได้แก่สำนักงานประกันสังคม คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจาก เห็นว่า คำร้องขออนุญาตฎีกาตามประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 และ มาตรา 247 นั้น

  1. คำร้องของจำเลยทั้งสามที่ยื่นขออนุญาตยื่นฎีกาเป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ชำนัญคดีพิเศษในข้อเท็จจริง อันเป็นการต้องห้ามการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
  2. พรบ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 ได้กำหนดหน้าที่ของนายจ้างในการขึ้นทะเบียนและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน หากนายจ้างไม่มีปฏิบัติตามย่อมได้รับโทษตามกฎหมายของกองทุนเงินทดแทน อีกทั้งในการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ แรงงานในฐานะลูกจ้างไม่สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนเองได้ จำเป็นต้องมีนายจ้างมาร่วมดำเนินการด้วย โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวนั้น เป็นการกำหนดกระบวนการในการควบคุมและตรวจสอบการนำคนต่างด้าวมาทำงาน ให้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้ทั้งระบบ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทย มิใช่เพื่อเป็นการจำกัดสิทธิของลูกจ้าง จึงไม่ใช่ความผิดของลูกจ้างเพราะโดยสภาพลูกจ้างมิสามารถดำเนินการตามกฎหมายทั้งสองฉบับได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามอ้างจึงไม่ได้เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน
  3. คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลกฎีกามาก่อน เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเนื่องจากมีข้อเท็จจริงว่าที่ว่ามีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.821/2558 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15582/2558 ซึ่งได้วางแนวทางคำวินิจฉัยไปในทางเดียวกันไว้เมื่อ 10 ที่ผ่านมา ยืนยันลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการทำงานมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนภายใต้การดำเนินการของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีนี้

           มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา เห็นว่าการต่อสู้ของทายาทของแรงงานในคดีนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญที่ สำนักงานประกันสังคมต้องปฏิบัติตามแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.821/2558 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15582/2558  ดำเนินการยกเลิกแนวปฏิบัติต่างๆอันเป็นการเลือกปฏิบัติและกีดกันแรงงานข้ามชาติในการเข้าถึงสิทธิเยียวยา ซึ่งปัจจุบันนอกจากที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดและศาลฎีกาแล้ว ยังมีการกระทำที่มีลักษณะที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่ได้วางหลักไว้ในมาตรา 27 และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี

———————————————————————————————-

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา

info@hrdfoundation.org