ใบแจ้งข่าว: ศาลพิพากษายืนยัน แรงงานข้ามชาติมีสิทธิเข้าถึงกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยไม่คำนึงถึง สถานะทางกฎหมาย ฝ่ายแรงงานเรียกร้องกระทรวงแรงงานทบทวนเพิกถอนแนวปฏิบัติ ที่ขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงานและสิทธิมนุษยชน

9  พฤศจิกายน  2565

ใบแจ้งข่าว
  ศาลพิพากษายืนยัน แรงงานข้ามชาติมีสิทธิเข้าถึงกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยไม่คำนึงถึง
สถานะทางกฎหมาย  ฝ่ายแรงงานเรียกร้องกระทรวงแรงงานทบทวนเพิกถอนแนวปฏิบัติ
ที่ขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงานและสิทธิมนุษยชน

 

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ศาลแรงงานภาค 5 ได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ 1451 – 1485/2565    ในคดีที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถูกฟ้องเป็นจำเลย เนื่องจากมีคำสั่งไม่อนุมัติจ่ายเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ให้แก่ลูกจ้างแรงงานข้ามชาติ จำนวน 35 ราย ภายหลังมีคำสั่งดังกล่าว ลูกจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม  โดยขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่
ไม่อนุมัติจ่ายเงิน ทั้งนี้ศาลแรงงานภาค
5 ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 ในคดีหมายเลขแดงที่ ร.58-92/2565 พิพากษาเพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและมีคำสั่งให้จ่ายเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง ( http://hrdfoundation.org/?p=2718 ) ทั้งนี้จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินดังกล่าวของศาลจึงได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแรงงานภาค 5  ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ท้ายที่สุดศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกคำอุทธรณ์ของจำเลย มีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้

  1. ลูกจ้างคนไทยและลูกจ้างต่างด้าวย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน เนื่องจากระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ อัตราที่จ่ายและระยะเวลาการจ่าย พ.ศ.2560 ที่จำเลยใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินให้กับแรงงานข้ามชาติทั้ง
    35 ราย ไม่มีบทบัญญัติใดจำกัดเงื่อนไขการเข้าถึงสิทธิในการได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนว่า ลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติต้องเข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งต้องเป็นกรณีที่นายจ้างได้ค้างจ่ายเงินตามที่กฎหมายกำหนดในช่วงระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานด้วย  ซึ่งจำเลยได้อุทธรณ์ว่าแนวปฏิบัติตามหนังสือ รง 0507/ว006876 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2558 เรื่อง แนวทางการพิจารณาจ่ายเงินสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง
    ต่างด้าวของคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง  แม้มิใช่กฎหมายแต่เป็นการกำหนดแนวทางการใช้ระเบียบ เมื่อพิจารณาระเบียบดังกล่าวไม่ปรากฎข้อความใดที่จำกัดการเข้าถึงสิทธิในการรับเงินของลูกจ้าง
    ต่างด้าว  ศาลชั้นต้นจึงพิเคราะห์ว่าการที่ลูกจ้างต่างด้าวจะเข้าเมืองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นเรื่องที่ลูกจ้างต่างด้าวจะต้องถูกดำเนินคดีอีกส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ใช้สิทธิการเข้าถึงกองทุนเงินเป็นการควบคุม ซึ่งการไม่อนุมัติเงินจากกองทุนให้กับแรงงานข้ามชาติทั้ง 35 รายได้รับเงินสงเคราะห์กรณีนายจ้างไม่จ่ายเงินอื่นนอกจากค่าชดเชย จึงเป็นการวินิจฉัยเกินเลยไปจากกฎหมายและระเบียบที่บัญญัติไว้ เป็นการลงมติและออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่  ดังนั้น ที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ยื่นคำอุทธรณ์เพื่อโต้แย้งในเรื่องดังกล่าว เป็นลักษณะการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 5 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษรับฟังข้อเท็จจริงใหม่ เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง  ซึ่งหากจะอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวได้ต้องเป็นการอุทธรณ์เฉพาะเรื่องที่เป็นประเด็นในทางข้อกฎหมายเท่านั้นศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้
  2. การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานภาค 5 เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการมีมติของจำเลยร่วมไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินสงเคราะห์ในกรณีดังกล่าว ประเด็นนี้จำเลยมิได้มีการโต้แย้งตั้งแต่แรกในศาลชั้นต้น และมิได้เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ การอุทธรณ์จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ใหม่ ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ
    วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรค 1 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
  3. การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานภาค 5 มีคำสั่งตัดพยานคือพนักงานตรวจแรงงาน วินิจฉัยว่าการดำเนินกระบวนพิจารณารับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 5 ชอบแล้ว เนื่องจากมีการสืบพยาน
    ทั้งโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้น ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ทนายจำเลย ได้แถลงหมดพยานเพียงเท่านี้ แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยไม่ติดใจสอบพยานปากพนักงานตรวจแรงงานอีกต่อไป  อุทธรณ์ของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น

ปสุตา ชื้นขจร  ทนายความ  และผู้ประสานงานโครงการยุติธรรมเพื่อแรงงานข้ามชาติ
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา เห็นว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษนี้ถือเป็นการยืนยันว่ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน เป็นกองทุนที่คุ้มครองแรงงานทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางกฎหมาย (การเข้าเมือง) ของลูกจ้างตามมาตรฐานแรงงานสากล

อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 27 วรรคสาม บัญญัติในเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล อีกทั้ง อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี นอกจากนี้คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติฯได้เผยแพร่ข้อสังเกตเชิงสรุปต่อรายงานของประเทศไทยว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติฯ  เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ย่อหน้าที่ 32 ระบุ “ให้รัฐภาคีเพิ่มความพยายามในการปรับปรุงสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของแรงงานข้ามชาติและครอบครัวของพวกเขา อันได้แก่การสร้างความตระหนักในสิทธิและชี้แจงวิธีร้องทุกข์ให้แก่บรรดาแรงงานข้ามชาติและสมาชิกครอบครัว รวมถึงเสริมความเข้มแข็งในการทำงานของพนักงานตรวจแรงงาน โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีแรงงานข้ามชาติเป็นจำนวนมาก นำนายจ้างที่กดขี่แรงงานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและให้มีการชดเชยแก่ผู้เสียหาย…”

ดังนั้นกระทรวงแรงงานจึงต้องทบทวนและเพิกถอนแนวปฏิบัติต่างๆที่มีลักษณะของการกีดกันการเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างและมีการเลือกปฏิบัติ


 

รายละเอียดติดต่อ : ปสุตา ชื้นขจร  ผู้ประสานงานโครงการยุติธรรมเพื่อแรงงานข้ามชาติ
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา โทร 0815957578   อีเมล์ [email protected]