19 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีสาระสำคัญ เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ดังนี้
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งประกอบด้วยการให้ความเห็นชอบในเรื่องดังต่อไปนี้
1. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ได้แก่
(1) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
(2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าว ทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
2. ให้ความเห็นชอบแนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย
3. ให้ รง. โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าวและผู้ที่เกี่ยวข้อง รับทราบข้อมูลการดําเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
สาระสำคัญ
เรื่องที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประเทศได้ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานฉับพลัน ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาความไม่สงภายในประเทศเมียนมา ทำให้มีการลักลอบเข้ามาในประเทศไทย และมีลักลอบทำงาน และสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชา ส่งผลทำให้มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาบางส่วน (22,546 คน) เดินทางกลับประเทศต้นทาง นอกจากนี้ยังมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา (98,548 คน) ลาว (91,489 คน) เมียนมา (194,441 คน) และเวียดนาม (3,573 คน) รวมทั้งหมดประมาณ 388,041 คน ที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นสุดวันที 13 กุมภาพันธ์ 2568 และต้องดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะ MOU ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 และวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ไม่มาดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน หรือดำเนินการไม่ครบถ้วน
อาทิ เมื่อมีการรับรองบัญชีรายชื่อจากประเทศต้นทางแล้ว ให้นายจ้างดำเนินการยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว พร้อมแนบเอกสาร เช่น ใบรับรองแพทย์ หลักฐานการขึ้นทะเบียนประกันสังคมหรือการประกันสุขภาพ และการดำเนินการตรวจลงตรา กระทรวงแรงงานจึงได้กําหนดแนวทางบริหารจัดการ การทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายและแนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจฐานราก ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมโดยตรง รวมถึงความมั่นคงของรัฐ สรุปได้ดังนี้
1. แนวทางบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(1) ผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวเป้าหมาย ประกอบด้วยสัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ไม่ดำเนินการต่ออายุการทำงานได้ครบทุกขั้นตอน และที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบในครั้งนี้และประสงค์จะทำงาน ประกอบด้วยสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา (เหตุที่ไม่มีเวียดนาม เนื่องจากเขตแดนไม่ได้ติดต่อกันจึงไม่มีการลักลอบเข้ามา โดยช่องทางธรรมชาติ)
(2) ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว และชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน (ค่าธรรมเนียมคำขอ จำนวน 100 บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาต จำนวน 900 บาท) ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ ที่กรมการจัดหางานกำหนด และให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพ
ณ สถานพยาบาลของรัฐ หรือสถานพยาบาลเอกชน กรณีคนต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างซึ่งอยู่ภายใต้บังคับ แห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน สำหรับคนต่างด้าว ซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ให้ทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ แรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย
(3) คนต่างด้าวจะได้รับอนุญาตทํางาน 1 ปี และให้คนต่างด้าวดังกล่าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปดำเนินการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ขอรับการตรวจลงตราต่อไป สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจะต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดเพิ่มเติมซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคง
2. แนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่นเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งได้กำหนดให้มีการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น ๆ เข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทยผ่านระบบ MOU (อนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานเป็นระยะเวลา 2 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 2 ปี หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับคนต่างด้าวสัญชาติอื่นที่เข้ามาทำงานตามระบบ MOU) ซึ่งในระยะแรกเป็นการนำร่องโดยการนำคนต่างด้าว สัญชาติศรีลังกาเข้ามาทำงานได้กำหนดจำนวนไว้ 10,000 คน เพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ และนำเข้าคนต่างด้าวสัญชาติอื่น ๆ เช่น เนปาลบังคลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และนายจ้างมีความต้องการจ้างแรงงานสัญชาติ ศรีลังกาเพิ่มเติม กระทรวงแรงงานจะเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พิจารณาให้ความเห็นชอบให้สามารถนำคนต่างด้าวสัญชาติศรีลังกาเข้ามาทำงานเพิ่มเติมได้ทันที และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป และเมื่อการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติให้กระทรวงแรงงาน ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับประเทศต้นทาง




