ชีวิต ความหวัง ความฝัน (เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ “ต้องไม่ถูกทอดทิ้ง”)


ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษ เรียกว่างานประเภท 3D: งานที่หนัก (Difficult), งานสกปรก (Dirty), และงานอันตราย (Dangerous) เนื่องจากผู้ใช้แรงงานในประเทศไม่ต้องการทำงานเหล่านี้ บางคนก็ออกไปต่างประเทศ เราจึงต้อง “สร้างความเอื้อเฟื้อต่อแรงงานข้ามชาติ” ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ในขณะเดียวกันอย่าลืมว่า “แรงงานข้ามชาติเองก็เข้ามาพร้อมกับความหวังและความฝัน” ที่จะได้รับการพัฒนาจากทุกภาคส่วน ดังนั้น “อนาคตไทย อนาคตแรงงานข้ามชาติ ก็อยู่ภายใต้ความหวังและความฝันเหล่านี้” ซึ่งแรงงานข้ามชาติหวังอย่างยิ่งที่จะได้รับการยกระดับคุณภาพชีวิต การพัฒนาทักษะและการเข้าถึงระบบการศึกษา แต่ “ปัจจุบันความสนใจต่อสถานการณ์ของเด็กข้ามชาติในประเทศไทยยังมีไม่มากพอ”

“ข้ามชาติต้อง ไม่ถูกทอดทิ้ง” คำถามที่ตามมาก็คือ แรงงานข้ามชาติรวมถึงเยาวชน ลูก หลานของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อต้องจากบ้านเกิดเพื่อมาทำงานในเมืองไทยพร้อมกับความฝัน?

พวกเขาเหล่านี้เดินทางมาด้วย “ความหวัง และฝันที่จะมีชีวิตครอบครัวที่ดี” โดยเริ่มจากความหวังที่จะมีงานทำที่ดีไม่ถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง การเข้าถึงบริการจากหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย เขาหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยยกระดับชีวิตครอบครัวของพวกเขาได้ แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยจำนวนมากเป็นแรงงานที่เดินทางมาจากประเทศเมียนมา ซึ่งหลายคนได้พาลูกและพ่อแม่มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หรือหลายคนก็ทำงานจนมีลูกและสร้างรากฐานครอบครัวในประเทศไทย

ถ้าพูดถึง “เด็ก หรือ เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ”  จะพบว่าสถานการณ์ปัญหาหนึ่งของเด็กที่ “ไม่มีสัญชาติไทย” ในปัจจุบันอยู่ประมาณ 2.5-3 แสนคนในประเทศไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกับเด็กที่มีสัญชาติไทย ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีความพยายามในการส่งเสริมและจัดการศึกษาให้กับเด็กๆทุกคนโดยไม่สนว่ามีสัญชาติไทยหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามยังคงพบว่ามีเด็กประมาณร้อยละ 75 ที่ยัง “ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่รัฐจัดให้ได้อย่างเท่าเทียมกับเด็กอื่นๆ” (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2567)

ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเด็ก ๆ เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ เนื่องจากทางภาคประชาสังคมก็ยังพบสถานการณ์ที่พ่อแม่ให้ลูกทำงานเพื่อเพิ่มรายได้หรือสนับสนุนครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การรับรู้ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเด็ก” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาระทางกายและจิตใจ หรือการขัดขวางการศึกษา พัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของเด็ก เด็กควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้ การเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัย

“เด็กต้องทำงาน” หรือ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “แรงงานในขณะที่อายุไม่บรรลุนิติภาวะ” ซึ่งมีความไม่เหมาะสมและเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์ การพัฒนาทางสังคมควรเริ่มจากนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อเด็กเพื่อ “ป้องกันการใช้แรงงานเด็ก” อย่างไม่เหมาะสม เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยและพัฒนาการของเด็กๆ

จากสถานการณ์ดังกล่าวในเบื้องต้นมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนและการปรึกษาจากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการ “ป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเด็ก” รวมถึงการเสริมสร้างความตระหนักรู้และการเข้าใจในทางที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิ สวัสดิภาพของเด็กและครอบครัวในการใช้แรงงานเด็ก การร่วมมือกันระหว่างสถาบัน ครอบครัว สถานศึกษา และหน่วยงานสังคมสงเคราะห์อาจช่วยเสริมสร้าง “ภูมิต้านทานและโอกาสในการพัฒนาของเด็ก” ในระยะยาวได้ดีขึ้นด้วย

“เด็ก หรือ เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ” พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไปถึงแม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่มีความสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในอนาคต เพราะพวกเขามีศักยภาพมากมายในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ ทั้งนี้การให้สิทธิและสนับสนุนที่เหมาะสมต่อ “เด็กข้ามชาติ” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างพื้นที่ให้มีความเหมาะสมและความปลอดภัย ซึ่งส่งผลให้พวกเขาเจริญเติบโต ตลอดจนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศต่อไปได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ AYE MAR CHO  “ผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาร์” ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ประสานงาน จากมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) พื้นที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร โดยคุณ AYE MAR CHO มองเห็นถึงสภาพปัญหาของเยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่จำนวนมากและไม่ได้รับการศึกษาต่อ จนในบางครั้งเด็กเหล่านี้จะต้องอาศัยอยู่ในห้องพักหรือชุมชน ในขณะที่เด็กไทยออกไปเรียนหนังสือ ส่วนพ่อแม่ออกไปทำงาน จนในบางครอบครัวพ่อแม่ให้เด็กเหล่านี้ออกไปทำงาน ปัญหาคือ “เด็กเหล่านี้ไม่มีพื้นที่หรือสถานที่ศึกษาที่เหมาะสมและปลอดภัยตามวัยอันควรเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์รวมถึงการค้ามนุษย์” นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ “ควรมีศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ”

ซึ่งคุณ AYE MAR CHO  เห็นถึงความสำคัญที่ควรจะผลักดันให้มีศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กข้ามชาติ เนื่องจากท่านได้กล่าวไว้ว่า “อยากให้เด็กๆ ทุกคนได้เรียนหนังสือ ได้รับพัฒนาการที่ดี ได้รับความรู้เพื่อที่อนาคตข้างหน้าน้องอาจไม่ได้เป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยอย่างเดียว น้องอาจจะเป็นอาชีพอื่น ๆ เช่น ดารา หมอ พยาบาล ครู ฯลฯ สามารถนำความรู้ที่มีไปต่อยอดได้ ไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นลูกแรงงานข้ามชาติแล้วจะต้องโตขึ้นไปเป็นคนใช้แรงงานแต่เพียงเท่านั้น การที่เด็กคนหนึ่งโตขึ้นมามีความสามารถและคุณภาพย่อมส่งผลดีต่อประเทศไทยและไม่ว่าประเทศใดก็ย่อมดีที่มีพลเมืองที่มีคุณภาพ” ดังนั้น เรามีความเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเขาและประเทศให้ดีขึ้นได้

“เด็ก หรือ เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ” ที่ติดตามพ่อแม่เข้ามาในประเทศไทยหรือเกิดในประเทศไทยก็ตาม เป็นช่วงอายุที่ควรจะได้รับการศึกษา “แต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ” ซึ่งความยากของเด็กข้ามชาติ คือ การมีเอกสารประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นสูติบัตร บัตรผู้ติดตาม หรือบัตรผู้ไม่มีสัญชาติไทย เนื่องจากโรงเรียนไทยในปัจจุบันส่วนมากจะขอรับเฉพาะเด็กข้ามชาติที่มีเอกสารประจำตัว

จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์พบกรณีตัวอย่าง คือ เด็กที่เกิดจากประเทศเมียนมาร์และโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยตามพ่อแม่จะประสบปัญหาความยากลำบากในการขอเอกสารต่างๆ เช่น บัตรผู้ติดตาม ทำให้เด็กๆ เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาของประเทศไทยได้อย่างที่ควร ซึ่งมีความขัดต่อนโยบายรัฐบาลที่กล่าวว่า “ทุกคนสามารถเข้าถึง การศึกษาที่มีคุณภาพได้ อย่างเท่าเทียมโดยไม่มีอุปสรรค”

ต่อมาภาคประชาสังคมได้พยายามขับเคลื่อนกับหลายภาคส่วนให้เกิดศูนย์การเรียนรู้แก่เยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ โดยรับการสงเคราะห์อาคารเรียนจากวัด ชุมชน บริษัทผู้ประกอบการภาคเอกชนและความร่วมมือจากพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่อยากให้ลูกเข้าถึงการศึกษา และพบว่ามีเด็กข้ามชาติสนใจเป็นจำนวนไม่น้อย และมีอาสาสมัครสนับสนุนความรู้ให้กับเด็ก ๆ โดยศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติควรมีการพัฒนาระดับการศึกษาและพัฒนาให้สอดคล้องกับการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยและประเทศต้นทางเพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนสามารถศึกษาต่อได้ในระดับปริญญาตรี

จากการประกาศของหน่วยงานการศึกษาประเทศเมียนมาร์เปิดโอกาสให้เด็กในระดับเกรด 4  (ประถมศึกษาตอนปลาย) สามารถข้ามฝั่งไปทดสอบในประเทศเมียนมาร์ผ่านช่องทางพรมแดนแม่สอดและกาญจนบุรีเป็นต้น โดยหน่วยงานการศึกษาเมียนมาร์มีชุดข้อสอบให้เด็กเมียนมาร์ที่ศึกษาด้วยตนเองหรือจากศูนย์การเรียนรู้จากประเทศไทยได้ลงสนามสอบ และพบว่ามีเด็ก ๆ จากศูนย์การเรียนรู้ได้สอบผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาของรัฐบาลเมียนมาร์ที่ระบุไว้

จะเห็นว่า “ปัจจุบันโลกสังคมที่เปลี่ยนแปลง” ทำให้เกิดการพัฒนาที่มาจากการต่อสู้กับความท้าทายที่ยากลำบากอยู่ตลอดเวลา ทำให้พ่อแม่ของเยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติก็ยอมที่จะลงทุนหาเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษาให้แก่ลูกของตนเองเพื่อให้เข้าถึงการศึกษา โดยศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาตินี้ไม่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากภาครัฐ จึงต้องมีการหางบประมาณในการบริหารจัดการเอง

จากการสอบถามอาสาสมัครศูนย์การเรียนรู้แรงงานข้ามชาติ พบว่าเขาก็มีความยากลำบากในการทำงาน เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมในหลายๆ อย่าง เช่น อุปกรณ์ เนื้อหา สื่อการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ด้วย แต่อาสาสมัครชาวเมียนมาร์ กล่าวว่า “ในจิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้ความรู้ ก็อยากจะให้เด็ก ๆ ได้เข้าถึงการศึกษา ดังนั้นเขาเองก็จะสู้ไม่ย่อท้อที่จะช่วยเหลือให้เกิดการศึกษา” สุดท้ายแล้วปัญหา “แรงงานเด็ก” ก็ได้เริ่มลดลงไป เนื่องจากมีศูนย์การเรียนรู้แรงงานข้ามชาติเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย 

ซึ่งศูนย์การเรียนรู้นี้ยังเห็นถึงความสำคัญอย่างมากในเรื่องของความหลากหลายโดยไม่จำกัดคำว่า “เพศ” ให้แก่กลุ่มเยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเราจะเห็น “ความสามารถของเด็กๆ ท่ามกลางความหลากหลายทางเพศ” มาอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็น เด็กหญิง เด็กชาย หรือ LGBTQ+ แสดงกิจกรรมด้วยกันตามความชอบและความถนัด โดยไม่ยัดเหยียดความเป็นเพศให้แก่เด็กเหล่านี้ ซึ่งศูนย์มีการจัดซ้อมการแสดง เต้น รำ เพื่อเสริมสร้างความกล้าแสดงออกของกลุ่มเด็กๆ หรือเยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติตามที่ใจเขารัก ผ่านชุดการแสดงวัฒนธรรมเมียนมาร์ โดยที่ไม่มีการกีดกันและปิดบังความเป็นเพศของเด็กๆ เลย และที่สำคัญไปกว่านั้น น้อง ๆ เหล่านี้ยังได้มีโอกาสได้รับเชิญไปทำการแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ อีกด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิและอาสาสมัครศูนย์การเรียนรู้คอยช่วยเหลือดูแลเด็ก ๆ สะท้อนให้เห็นว่าเด็ก ๆ มีความสามารถหลายด้านมาก

นอกจากนี้ยังมีเด็ก ๆ หลายคนที่มีโอกาสได้เข้ามาเรียนในศูนย์การเรียนรู้ที่จัดตั้งขึ้นให้กลุ่มเยาวชน ลูก หลานแรงงานข้ามชาติ กลุ่มเปราะบางตามจุดต่างๆในประเทศไทย เราพบว่าแม้ในพื้นที่ที่ลำบากยากเข็ญ แม้ในพื้นที่ที่มองไม่เห็นโอกาสในช่วงก่อนหน้านี้ จนกระทั่งปัจจุบันได้รับการจัดสรรและพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวผ่านการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาร์และภาคประชาสังคม ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “หากเด็กๆ เหล่านี้มีพื้นที่การศึกษา ที่นั้นก็จะมีความหวัง ความสุข และอนาคต” จนทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างเท่าเทียม

อย่างที่น้อง WIRI YA TUN อายุ 17 ปี ชาวเมียนมา ศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี กล่าวว่า “ผมเรียน ป.1 – ป.6 ที่เมียนมาร์ครับ แล้วมาต่อที่ประเทศไทย ผมมีความสุขมากที่ได้เรียนหนังสือต่อในไทย และผมรักเพื่อนๆคนไทยทุกคน แต่ก่อนผมเรียนที่โรงเรียนพื้นที่เมาะลำไย ประเทศเมียนมาร์ แต่เพราะสงครามทำให้พ่อแม่ต้องมาหางานทำที่เมืองไทย ผมรักที่นี่และอยากเป็นคนที่ดีตอบแทนเมืองไทย ถ้ามีโอกาสอยากเรียนไปเป็นหมอ ถ้ามีโอกาสก็อยากสู้ อยากตั้งใจให้มากที่สุด”

ในมุมมองของเด็กหญิง THAE WADDY YOON ตัวแทนลูกของแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ ซึ่งศึกษาในศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ ได้กล่าวว่า “อยากเปิดร้านเสริมสวย อยากประกอบอาชีพช่างตัดเสื้อผ้า รวมถึงการเปิดร้านขายของค่ะ”

MI HTAR WARA KYAI ZIN ตัวแทนลูกของแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาร์ จากศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ กล่าวว่า “หนูพยายามเรียนให้ดี ทำให้พ่อแม่มีความสุข บางทีก็ท้อ ต้องสอบทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาพม่า” แต่หนูก็สู้ เพื่ออนาคตที่ดี

จากข้อความข้างต้นจะเห็นว่า “เด็ก ๆ เหล่านี้มีความหวัง ความฝันผ่านความตั้งใจและความพยายามที่ยากลำบาก” เพื่อหาโอกาสให้ตนได้รับการศึกษาและความรู้เพื่ออนาคตที่ดี ในอนาคตผู้ดูแลศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ กล่าวว่า “อยากให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญต่อการศึกษาของเด็กข้ามชาติเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของการโยกย้ายถิ่นฐานโดยเป็นทางเลือกอื่นๆ นอกจากการศึกษาในระบบหรือเทียบเท่าเพียงอย่างเดียว”

ข้อความดังกล่าวข้างต้นถือว่าเป็นข้อท้าท้ายอย่างยิ่งของคุณ AYE MAR CHO “ผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาร์” ที่พยายามหาทางผลักดันให้เกิดพื้นที่การศึกษาอย่างมีมาตรฐาน” สิ่งนี้ถือเป็นภารกิจใหญ่ที่แบกความหวังของเด็ก ๆ ข้ามชาติไว้ โดยเขาจะต่อสู้ผลักดันความหวัง ความฝันของเด็ก ๆ เหล่านี้ให้เป็นจริง เพราะเขาเชื่อว่า “ชีวิตที่ดีต้องเริ่มต้นมาจากการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพ”  และพวกเขาเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่พร้อมจะพัฒนาประเทศภายใต้ความเป็นพลเมืองที่ดี

จะเห็นว่ามีอะไรหลายสิ่งที่ “ถูกสร้างให้กับประเทศโดยผู้ใช้แรงงานข้ามชาติ” ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่แรงงานข้ามชาติให้มีความสามารถและความชำนาญในกลุ่มอาชีพที่ขาดแคลนในประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อเศรษฐกิจด้วย เช่น การช่วยเพิ่มผลผลิตภายในประเทศด้วยแรงงานที่มีความสามารถในทักษะต่างๆ ตลอดจนการส่งเงินกลับบ้านจากแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึง “สิทธิและการยอมรับ” ที่พวกเขาได้รับยังมีประเด็นที่พวกเขายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เป็นมิตร ความอคติต่อผู้ใช้แรงงานข้ามชาติ การช่วยเหลือทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอ และความเสี่ยงต่อการถูกขู่เข็ญหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเข้าถึงระบบสาธารณสุข  และระบบการศึกษา เป็นต้น

นั่นหมายความว่าการสร้างระบบพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ จึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โดยต้องอาศัยความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนให้เกิดการศึกษาที่เหมาะสม ดังนั้นควรมีการจัดศูนย์ประสานงานระหว่างสถานศึกษาและหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ ตลอดจนการผลักดันให้ “เด็กสามารถกลับไปเรียนเทียบในระบบประเทศต้นทางได้” ถือเป็นการสร้างพื้นที่และเปิดโอกาสให้กับเด็กๆ ได้อย่างเท่าเทียม

 “เด็กข้ามชาติ” ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับความคุ้มครองและความเท่าเทียมเหมือนเด็กทุกคนในสังคม โดยไม่แบ่งแยกฐานะ เพศ เชื้อชาติ และศาสนา หากมองเพิ่มเติมในมิติทฤษฎีทางการเงินนั้น การใช้ภาษีของประชาชนสำหรับการสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาของเด็กๆ ข้ามชาติ ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากเป็น “สิ่งที่เติมเต็มให้แก่เด็ก ๆ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ มาขัดขวาง”

ท้ายที่สุด “การผลักดันให้เกิดศูนย์การเรียนรู้เด็กแรงงานข้ามชาติ” ถือเป็นการสร้างทางเลือกทางการศึกษาให้แก่เด็ก ๆ ได้เข้าถึงการศึกษามากขึ้น ตลอดจนการสนับสนุนการเรียนรู้และการเติบโตของเด็กข้ามชาติอย่างยั่งยืน สิ่งนี้ถือว่าเป็นเส้นทางเริ่มต้นที่จะนำพาพวกเขาเข้าสู่ความฝันที่เป็นจริง ผ่านการปลูกฝังภายใต้จิตใต้สำนึกว่าโตมาแล้วจะเป็นกำลังสำคัญที่มีประสิทธิภาพของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต

ดังนั้นคำว่า “ข้ามชาติ ต้องไม่ถูกทอดทิ้ง” ถือเป็นคำสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจความเป็นมนุษย์ด้วยกัน อยากให้ทุกคนลองถามใจตัวเองว่า “เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงให้แก่แรงงานข้ามชาติ รวมทั้งเยาวชน ลูก หลาน แรงงานข้ามชาติ โดยปราศจากความอคติต่อพวกเขา เพื่อให้เขาเหล่านี้ได้รับความเคารพ สานสัมพันธ์อย่างเป็นมิตรซึ่งกันและกัน ตลอดจนการเข้าถึงสิทธิการศึกษา อาชีพ และสวัสดิการขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกับทุกคนในประเทศ คำถามสำคัญที่ต้องทิ้งท้ายไว้คือ “สิทธิและความเท่าเทียมเหล่านี้” พวกเขาได้รับอย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง?