สรุปเนื้อหาวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากล 2024 กึ่งศตวรรษคนย้ายถิ่น: ความร่วมมือเพื่อสิทธิและความเท่าเทียมในสังคมไทย
|
วันที่ 22 ธันวาคม 2567 ที่ โรงแรม เซ็นทรัลเพลส จังหวัดสมุทรสาคร ได้จัดงานวันแรงงานย้ายถิ่นสากล ปี 2024 “กึ่งศตวรรษคนย้ายถิ่นกับการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยอย่างสันติ” เนื่องในวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากล (18 ธันวาคม) เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมด้านประชากรข้ามชาติสมุทรสาคร ร่วมจัดกิจกรรมเสวนาเพื่อรำลึกและส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ สร้างความตระหนักรู้เรื่องการย้ายถิ่นในยุคโลกาภิวัตน์ และผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม งานนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คนจากทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างความร่วมมือในพื้นที่ และผลักดันนโยบายที่สนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียม เครือข่ายฯ หวังให้กิจกรรมนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยอย่างสันติ

คำถามเริ่มต้น “ผู้เข้าร่วมทราบหรือไม่ว่าวันนี้คือวันงานอะไร?” วันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแรงงานข้ามชาติทุกคน เพราะนี่คือ “วันแรงงานข้ามชาติสากล” แม้ว่าวันสำคัญนี้จะตรงกับวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี ตามที่สหประชาชาติประกาศไว้ แต่ปีนี้เราได้เลือกจัดงานในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ร่วมกันแสดงออกถึงพลัง ความสามัคคี และเสียงของแรงงานข้ามชาติในชุมชนอย่างแท้จริง
งานครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหลายองค์กรที่มุ่งมั่นส่งเสริมสิทธิแรงงานและมนุษยชน อาทิ มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สมาคมพราว มูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน ชุมชนสมานฉันท์แรงงานข้ามชาติ (MWSC) ซึ่งภายในงานยังคำนึงถึงพื้นที่ของลูกหลานแรงงานข้ามชาติด้วยผ่านการแสดงวัฒนธรรมมอญ 2 ชุด จากเด็กและเยาวชนแรงงานข้ามชาติ สนับสนุนโดยสมาคมพราว กิจกรรมในวันนี้ไม่ได้เพียงแค่เฉลิมฉลองวันสำคัญนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่แรงงานข้ามชาติจะได้สะท้อนปัญหา ความท้าทาย และความหวัง รวมถึงการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสียงให้สังคมได้รับรู้ถึงสิทธิที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียม
คุณสุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน ขึ้นกล่าวเปิดงานและชี้แจงถึงวัตถุประสงค์สำคัญของกิจกรรมในวันนี้ โดยคุณสุธาสินี กล่าวว่า วันนี้ก็เป็นวันแรงงานข้ามชาติสากล เนื่องจากเราจะต้องจัดในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ซึ่งงานจะไม่ได้ตรงวันตาม ปฎิทิน คือ 18 ธันวาคม ทุกปี ดังนั้น เป็นการอพยพย้ายถิ่นฐานทุกคน ดังนั้นถ้าจะมองว่าใครคือคนย้ายถิ่นฐาน จริงๆ แล้ว มองทั่วโลก ดังนั้นสหประชาชาติจึงประกาศวันที่ 18 ธันวาคม ของทุกปีคือวันย้ายถิ่นฐานสากล และทุกปีทางสมุทรสาครพวกเราก็จะมาจัดกิจกรรมแบบนี้ ให้มาแสดงออกในกิจกรรม ซึ่งไม่ได้หมายถึงหารใช้ความรุนแรง เราแสดงออกได้หลากหลาย เช่น การพูด การใช้สายตา เป็นต้น และจะเป็นพื้นที่ของแรงงานข้ามชาติได้มาสะท้อนเสียงของตน การย้ายถิ่นฐานถือเป็นเรื่องของปกติที่ทุกท่านต้องพบแต่จะต้องได้รับสิทธิในการคุ้มครองด้วย และวันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่น้องแรงงานข้ามชาติจะได้ฟังว่าตนเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง ? และเข้าถึงสิทธิมนุษยชนหรือยัง?
นอกจากนี้ คุณพินยุดา แจ่มจันทร์ศรี แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครให้มาดำเนินการเปิดกิจกรรมแทน ซึ่งเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าจังหวัดสมุทรสาครเราต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจำนวนมากและที่สำคัญเราจะเห็นว่าทุกท่ายจะมารวมกันในวันนี้ ทุกท่านทราบแล้วว่าวันนี้คือวันแรงงานย้ายถิ่นสากล ดังนั้นทุกท่านน่าจะทราบดีว่าแรงงานจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น กรมจัดหางาน สำนักงานประกันสังคม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.)
เวทีเสวนา “เสียงสะท้อนปัญหาแรงงาน” เสนอข้อท้าทายและทางแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
การจัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “เสียงสะท้อนปัญหาแรงงาน” โดยมี คุณสุธาสินี แก้วเหล็กไหล เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยตัวแทนแรงงานจากหลายองค์กรที่มาร่วมสะท้อนปัญหาและอุปสรรคที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญในประเทศไทย
ข้อท้าทายจากกลุ่มแรงงานและข้อเสนอแนะ
- การต่อใบอนุญาตทำงาน
ตัวแทนจากมูลนิธิรักษ์ไทยและนักศึกษาหญิงผู้ทำงานควบคู่การเรียนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ชี้ให้เห็นว่า การต่อใบอนุญาตทำงานมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่มีระบบ One Stop Service ส่งผลให้เกิดการพึ่งพานายหน้าซึ่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินกำหนดถึงสองเท่า อีกทั้งไม่มีหน่วยงานที่คอยช่วยเหลือลูกจ้างที่ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ
- ปัญหานายหน้าและเอกสารไม่ครบถ้วน
จังหวัดสมุทรสาครพบปัญหาแรงงานในภาคประมงที่ต้องพึ่งพานายหน้า ทั้งที่ปฏิบัติตามขั้นตอนถูกต้องและผิดขั้นตอน แต่เมื่อเกิดการร้องเรียน นายหน้ามักไม่ถูกดำเนินคดีภายใน 90 วัน ทำให้หมดอายุความและแรงงานไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเสนอให้มีการตรวจสอบเอเจนซี่ที่เกี่ยวข้องและแก้ไขระบบการต่ออายุเอกสาร
- สิทธิมนุษยชนในสถานประกอบการ
พบว่านายจ้างในหลายธุรกิจละเลยเรื่องสัญญาจ้าง วันหยุด สวัสดิการ และความปลอดภัยในการทำงาน ลูกจ้างจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนได้
- การศึกษาของเด็กแรงงานข้ามชาติ
เด็กแรงงานข้ามชาติจำนวนมากเผชิญปัญหาการเข้าไม่ถึงการศึกษาต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชนหรือเอกสารยืนยันตัวตน ผู้เข้าร่วมเสนอให้มีการอำนวยความสะดวกและจัดทำระบบข้อมูลสำหรับเด็กข้ามชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเต็มที่
มุมมองจากแกนนำแรงงานข้ามชาติ
- ตัวแทนจากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) เน้นย้ำว่าแรงงานข้ามชาติไม่ได้ย้ายเข้ามาเพราะยากจน แต่เพื่อแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า โดยต้องการสร้างมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศไทยและเมียนมา และขอให้สังคมมองแรงงานข้ามชาติในเชิงบวก ไม่เหมารวมว่าเป็นปัญหา
- ตัวแทนจากชุมชนสมานฉันท์แรงงานข้ามชาติ (MWSC) สะท้อนว่าผู้ลี้ภัยจากเมียนมาต้องเผชิญกับสงครามและการบังคับเกณฑ์ทหาร ส่งผลให้ต้องหนีมาอาศัยในประเทศไทย แต่กลับพบอุปสรรค เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้าสูงถึง 15,000 บาท และการต่ออายุใบอนุญาตทำงานที่ยุ่งยาก
ข้อเสนอสำคัญจากเวทีเสวนา
- ขอให้รัฐบาลไทยตรวจสอบและจัดการปัญหานายหน้าที่ทุจริต
- ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาตทำงาน
- สนับสนุนให้ผู้ให้เช่าที่อยู่อาศัยรับผิดชอบการแจ้งเข้าออกของแรงงานข้ามชาติ
- ส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นธรรม
- เวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญ และเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นมิตรสำหรับแรงงานทุกคน

“ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้ หากปราศจากแรงงานข้ามชาติ เราต้องมองพวกเขาในฐานะเพื่อนบ้าน ไม่ใช่คนแปลกหน้า” เสียงเรียกร้องที่ก้องกังวานจากเวทีเสวนานี้
นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนา “ใครได้ ใครเสีย” ดำเนินรายการโดย คุณสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน พบว่ามากกว่า 50 ปี แรงงานข้ามชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิที่แรงงานควรจะได้รับ รวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงงานด้วย ในงานเสวนาครั้งสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อเปิดเวทีให้แรงงานข้ามชาติได้แสดงออกถึงปัญหาและความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญ ซึ่งมีนักวิชาการ ผศ.ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตัวแทนจากองค์กรภาคประชาสังคมและแรงงานข้ามชาติ สะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะหลากหลาย ดังนี้
เสียงจากนักมานุษยวิทยา: ความฝัน ความหวัง และความกลัว
ผศ.ดร.จิราพร เปิดเผยถึงความประทับใจที่ได้ฟังเสียงจากแรงงานข้ามชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมชี้ให้เห็นถึง ความหวังและความฝัน ของพวกเขา เช่น เด็กนักเรียนจากโรงเรียน Migrant School ที่ฝันอยากเป็นพยาบาลหรือบาริสต้า แต่กลับต้องเผชิญปัญหาการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพและการศึกษา การอคติและกลัวผู้อื่น รวมทั้งการเลือกปฏิบัติ การเหยียด ส่วนมากเกิดจากสื่อโซเชียลที่มีการโพสแบบ hate speech และการใช้แรงงานข้ามชาติเป็นเครืองมือทางการเมือง แต่ว่าในภาพรวมก็ยังมีความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรม การกิน การอยู่ อาจจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจที่คนไทยไม่เข้าใจคนพม่า ทำไมนายจ้างไทยต้องทำแบบนี้? ทำไมแรงงงานต้องทำแบบนี้? ทั้งที่ข้อมูลปัจจุบันชี้ว่า จำนวนแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นและไม่ขึ้นทะเบียนประมาณ 6-7 ล้านคน ข้อมูลจาก (IOM, 2023) และ 160,000 คนอุตสาหกรรมซีฟู้ด(IOM, 2022) และแค่อุตสาหกรรมทูน่าผลิตได้ 576000 ตัน และส่งขายทั่วโลก คิดเป็นรายได้เข้าประเทศไทย 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ ภาคบริการมีผลต่อ GDP ไทยประมาณ 44.7% (BOI,2023) ซึ่งเป็นส่วนจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
“ระบบการจ้างงานในไทยไม่เอื้อต่อแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้” จิราพร กล่าว
นอกจากนี้ ผศ.ดร.จิราพร ยังชี้ถึง ปัญหาความอคติและการสร้างความเกลียดชัง ต่อแรงงานข้ามชาติ ที่มักถูกมองในแง่ลบผ่านสื่อและการเมือง โดยอธิบายว่า หากแรงงานเหล่านี้หายไป เศรษฐกิจไทยจะเผชิญวิกฤตในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมซีฟู้ด การเกษตร และการบริการ เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในการอยู่ได้ของเศรษฐกิจและนำเม็ดเงินรายได้เข้าประเทศไม่สามารถตัดขาดกันได้ แต่ว่าประเทศไทยเลือกสร้างความยากลำบากให้แก่แรงงานข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขึ้นทะเบียนแรงงาน MoU ต่างๆ ที่มีผลต่อความยากลำบากในการอยู่ต่อเพื่อทำงานของแรงงานข้ามชาติ
ข้อเสนอจากภาคประชาสังคม
คุณอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายประชากรข้ามชาติ (MWG) เสนอให้ปรับปรุงระบบ Pre-MoU ที่ปัจจุบันซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยแนะนำให้ตัดขั้นตอนสัญญากับประเทศต้นทาง และอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตในไทยเพื่อลดภาระของแรงงาน
“ระบบ Pre-MoU ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ยุ่งยาก แรงงานต้องจ่ายเงินมากถึง 20,000 บาทโดยผ่านนายหน้า” นายอดิศรกล่าว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทางออกที่ง่ายและคุ้มค่ากว่านี้
ความเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย: ข่าวดีและข่าวร้าย
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย กล่าวถึงการปรับปรุงกฎหมายแรงงานหลายฉบับ เช่น การผลักดันให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิรวมตัวเจรจาต่อรอง และการนำเทคโนโลยี AI มาจัดการระบบแรงงานข้ามชาติ
อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนถึง ข่าวร้ายจากการแก้กฎหมายประมง ที่อาจเปิดช่องให้แรงงานถูกค้ามนุษย์เพิ่มขึ้น เช่น การอนุญาตให้ขนถ่ายปลากลางทะเลโดยไร้การควบคุม
ข่าวดีจากรัฐบาล
- สิทธิแรงงานตามอนุสัญญา C87 และ C98
รัฐบาลกำลังผลักดันการรับรองสิทธิแรงงานข้ามชาติในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง โดยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติสามารถดำรงตำแหน่งประธานสหภาพได้ รวมถึงการเปลี่ยนระบบการขึ้นทะเบียนให้เป็นการจดแจ้ง ซึ่งจะลดความยุ่งยากและเพิ่มความสะดวกในการดำเนินการตามกฎหมาย
- การปรับปรุงกระบวนการทำงานของกระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะที่จังหวัดสมุทรสาคร จะทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม แรงงานข้ามชาติ และนักวิชาการอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาระบบการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้รวดเร็วขึ้น พร้อมลดวงจรนายหน้าด้วยการให้หน่วยงานอื่นเข้ามาบริหารจัดการแทน
- พระราชบัญญัติยกระดับภาครัฐให้ทันสมัย
กำลังอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขและพิจารณา โดยมุ่งเน้นการปรับกฎระเบียบที่เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ เช่น สมุทรสาคร อาจกลายเป็นพื้นที่ทดลองใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการนำ AI มาช่วยบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามาแข่งขันการทำงานกับภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานอย่างจริงจัง แม้อาจไม่เห็นผลทันทีในปัจจุบัน แต่คาดว่าจะส่งผลดีในอนาคต
ข่าวร้ายจากรัฐบาล
- การแก้กฎหมายประมง (25 ธันวาคม 2567)
รัฐบาลอนุญาตให้เรือประมงเลือกวิธีตรวจสอบเรือ (PIPO) และขนถ่ายปลากลางทะเลได้ ซึ่งอาจเปิดช่องให้การค้ามนุษย์กลับมาอีกครั้ง งานประมงไทยอาจกลายเป็นอาชีพที่เสี่ยงที่สุดอีกครั้ง ขอเตือนแรงงานข้ามชาติให้หลีกเลี่ยงการทำงานในภาคประมง
เสียงสะท้อนจากแรงงานข้ามชาติ
- แรงงานหญิง
ถูกนายจ้างใช้คำพูดกดขี่ เช่น การข่มขู่ว่าจะส่งตัวกลับประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกเกลียดชัง
- แรงงานชาย
มีการเลือกปฏิบัติในระบบประกันสังคม เช่น ถูกปฏิเสธการรักษาแม้จะจ่ายเงินสมทบ
กระบวนการฟ้องร้องเรื่องค่าจ้างใช้เวลานานเกินไป
การไม่ได้รับค่าจ้างพิเศษในวันอาทิตย์หรือช่วงเทศกาล
สิทธิการเข้าถึงบริการทางการเงิน
แรงงานที่ถือ CI ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันของธนาคารในไทยได้
ข้อความฝากถึงแรงงานข้ามชาติ
- ร่วมมือกันเพื่อความเปลี่ยนแปลง ภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันกฎหมายที่ดีต่อแรงงาน
- เรียนรู้การรวมตัวและจัดตั้งสหภาพ การรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานยังคงเป็นความท้าทาย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มสิทธิและอำนาจการต่อรอง
- ศึกษากฎหมายและใช้สิทธิอย่างเต็มที่ กฎหมายที่รัฐบาลผลักดันจะเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อแรงงานข้ามชาติเข้าใจและใช้สิทธิเหล่านั้นอย่างถูกต้อง
ข้อสรุปและความหวัง
การเสวนาในครั้งนี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญ ทั้งในเรื่องสิทธิ ความเป็นอยู่ และการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ แม้ว่าจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาบางประการจากรัฐบาล แต่ยังต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
คุณนันทวุฒิ แหบคงเหล็ก HRDF – ผู้บันทึกรายงาน