ใบแจ้งข่าว: ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน พิพากษายืนยันแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นอดีตลูกจ้างบริษัทผลิตชุดชั้นในชาย รอซโซ่ ที่ยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีที่มีการเลิกจ้างในเหตุการณ์เดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อน
|
15 มกราคม 2568
ใบแจ้งข่าว
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน พิพากษายืนยันแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นอดีตลูกจ้างบริษัทผลิตชุดชั้นในชาย
รอซโซ่ ที่ยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
กรณีที่มีการเลิกจ้างในเหตุการณ์เดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อน
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ศาลแรงงานภาค 6 พิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดแม่สอด ได้อ่านคำพิพากษาฎีกา ที่ 3110-3113/2567 ในคดีที่แรงงานข้ามชาติสี่ราย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เป็นจำเลยที่ 1 และบริษัทรอซโซ่ จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 กรณีที่แรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมา ทั้งสี่คนเคยทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทรอซโซ่ จำกัด โดยได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานชั่วคราวครั้งละไม่เกิน 3 เดือน และได้รับการต่อใบอนุญาตทำงานโดยบริษัทฯ เป็นผู้แจ้งความต้องการและดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานต่อสำนักงานจัดหางานจัดหวัดตาก สาขาแม่สอด ตลอดมา กระทั่งครั้งสุดท้ายที่บริษัทฯไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานข้ามชาติทั้งสี่คนและเลิกจ้างทั้งหมดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 โดยก่อนเลิกจ้างเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 โจทก์ทั้งสี่และลูกจ้างอื่น รวมตัวกันลงลายมือชื่อสนับสนุนการยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทฯ เพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง และสามารถเจรจาตกลงกันได้ในชั้นพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตามบันทึกข้อตกเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2562 ดังนั้นโจทก์ทั้งสี่จึง ยื่นคำร้อง
1.กล่าวหาบริษัทฯต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) จำเลยที่ 1 ในคดี ว่าการกระทำของบริษัทฯขัดกับพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้บริษัทฯ (จำเลยที่ 2) สองเรื่องคือ รับโจทก์ทั้งสี่กลับเช้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน แต่ ครส.ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสี่ ตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 102-106/2562 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2562
2. 13 สิงหาคม 2563 โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานขอให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกัน พนักงานตรวจแรงงานออกคำสั่งให้บริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก ที่ 26/2563 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2563 โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว (ส่วนค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แรงงานทั้งสี่ได้รับทั้งหมดแล้วในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานภาค 6)
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า
1.พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กำหนดการเยียวยาแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไว้แตกต่างกัน และเป็นกฎหมายคนละฉบับ ลูกจ้างจึงมีสิทธินำเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงาน หรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนกัน
2. แม้ว่าโจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้าง อันถือว่าลูกจ้างทั้งสี่ไม่ประสงค์ทำงานกับบริษัทฯอีกต่อไปและไม่ถือเอาประโยชน์ในส่วนของการขอให้บริษัทฯรับลูกจ้างทั้งสี่เข้าทำงาน แต่ลูกจ้างทั้งสี่คนยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของบริษัทที่เป็นจำเลยที่ 2ของคดี ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจออกคำสั่ง ตามที่แรงงานทั้งสี่ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อันเนื่องมาจากการกระทำอันไม่เป็นธรรม ดังนั้นศาลฎีกาจึงยืนยันให้ศาลแรงงานภาค 6 พิจารณาว่า บริษัทฯได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 และ 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ว่า “มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 1 กับ บริษัท จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากกระทำอันไม่เป็นธรรมให้แก่แรงงานข้ามชาติทั้งสี่ หรือไม่” แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
“นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์” ทนายความในคดีมีความเห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ในคดีนี้ส่งผลกระทบต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 เรื่องการคุ้มครองการกระทำอันไม่เป็นธรรมในกรณีที่ลูกจ้างมีคำขอกลับเข้ามาทำงาน ซึ่งหากลูกจ้างต้องการใช้สิทธิร้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อขอกลับเข้ามาทำงาน ลูกจ้างต้องไม่ใช้สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งที่เจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้นบัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างในทันทีที่เลิกจ้าง ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ในส่วนของการคุ้มครองการกระทำอันไม่เป็นธรรม ให้มีอำนาจออกคำสั่งตามกฎหมายแม้ว่านายจ้างได้จ่ายค่าชดเชย หรือลูกจ้างได้ใช้สิทธิเรียกร้องและได้รับค่าชดเชยแล้ว
นอกจากนี้ นายชฤทธิ์ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน เร่งแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และลงนามอนุสัญญาด้านแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อให้แรงงานทุกคนในประเทศมีสิทธิจัดตั้งกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานได้ อันสอดคล้องกับเจตนาในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมตามครรลองแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย และสร้างบรรยากาศด้านการลงทุนที่ประเทศกำลังเข้าสู่การเจรจากรอบตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น กับสหภาพยุโรป ที่กำหนดกรอบการค้าด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน